SlideShare a Scribd company logo
1 of 13
Download to read offline
บทที่ 2
                              เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
      ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานสําหรับการดําเนินการวิจัย โดย
แยกตามหัวข้อดังต่อไปนี้
      1.1 หลักสูตรภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา
            1.1.1 วัตถุประสงค์ของหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษา
            1.1.2 คําอธิบายรายวิชาภาษาอังกฤษ 5
      2.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ
             2.2.1 ความหมายของแบบฝึก
             2.2.2 ความสําคัญของแบบฝึก
             2.2.3 ประโยชน์ของแบบฝึก
             2.2.4 ลักษณะของแบบฝึกที่ดี
             2.2.5 ประสิทธิภาพของแบบฝึก
      2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียน
             2.3.1 ความหมายและความสําคัญของการเขียน
      2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน
            2.4.1 ความหมายของการอ่าน
            2.4.2 ความเข้าใจในการอ่าน
            2.4.3 ระดับความเข้าใจในการอ่าน
            2.4.4 ปัญหาและอุปสรรคในการอ่าน
      2.5 ความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะการเขียนและการอ่าน
           2.5.1 สูตรคํานวณความพึงพอใจ
      2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษ
           2.6.1 งานวิจัยในประเทศ

2.1 หลักสูตรภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา
     2.1.1 วัตถุประสงค์ของหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษา
         วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษาซึ่งเป็นการเรียนภาษาอังกฤษ
ระดับมาตรฐานพื้นฐานตอนกลาง และระดับมาตรฐานพื้นฐานตอนปลาย มีดังนี้
         1. เพื่อให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้อย่างถูกต้องตามหลักภาษาและเหมาะสมกับวัฒนธรรม
         2. เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างเพียงพอที่จะใช้ประโยชน์ในการศึกษา
ต่อในระดับสูงหรือการประกอบอาชีพ
         3. เพื่อให้มีความสามารถทางภาษาอังกฤษ ทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน เพื่อใช้ในการ
สื่อสารและการแสวงหาความรู้
         4. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษ เห็นประโยชน์และคุณค่าของภาษาอังกฤษในการแสวงหา
ความรู้และการประกอบอาชีพ
         5. เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจเรื่องราวและวัฒนธรรมของชนชาติที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษา
แม่
         6. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และ
พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่าง
สร้างสรรค์
6
    2.1.2 คาอธิบายรายวิชาภาษาอังกฤษ 5
                ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ การดําเนินชี วิต ครอบครัว อาชีพ การดูแล การให้/ขอหรือนําเสนอ
ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง และสถานที่ท่องเที่ยว การเขียนจดหมายอิเล็กโทรนิค ข้อความจากสื่อประเภท
หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต สารคดี ละคร เพลง กีฬา ภาพยนตร์ เทศกาลที่น่าสนใจ รวมถึง
กิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภัยธรรมชาติ ประสบการณ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในอดีต สิ่งของในเรื่องของรูปร่ างหน้าตา/ลักษณะที่ปรากฏ ปัญหา สิ่งแวดล้อม สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
การคุ้มครองสัตว์ป่า การบริจาคเงิน การเลือกซื้อสินค้าอย่างฉลาด ประเภทของอาหาร การเชิญชวน การ
ตอบรับและการตอบปฏิเสธ การวางแผนในการจัดงาน การใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์
จําลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียนสถานศึกษา ชุมชน และสังคม การแสดงความขอบคุณและยกย่องชมเชย และ
การแสดงความคิดเห็น การให้คําแนะนํา คําสั่ง การแสดงเงื่อนไขต่างๆ ที่อยู่ในความสนใจของนักเรียนที่
ถูกต้องเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมท้องถิ่น Wiang Sa My Home Land และวัฒนธรรมของ
เจ้าของภาษา
          เพื่อให้นักเรียนเป็นผู้มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่น
ในการทํางานรักความเป็นไทยและมีจิตสํานึกสาธารณะ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงเรียนสาคือโรงเรียน
สามุ่งพัฒนาผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ ใฝ่เรียนรู้ ฉลาดใช้เทคโนโลยี มีสุขภาพกายสุขภาพจิตดี มี
คุณธรรมจริยธรรม อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สืบสานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชนร่วมพัฒนา ยึด
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

2.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ
         2.2.1 ความหมายของแบบฝึก
                     แบบฝึกมีความจําเป็นต่อการเรียนการสอนวิชาทักษะ การใช้แบบฝึกพัฒนาการเรียน
การสอนจะช่วยให้ครูและนักเรียนพบข้อบกพร่องทางการเรียนการสอนและแก้ไขข้อบกพร่องนั้น มีผู้กล่าวถึง
ความหมายของแบบฝึกไว้ ดังนี้
                     พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า
“แบบฝึกหมายถึง แบบตัวอย่าง ปัญหา หรือ คําสั่ง ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้นักเรียนฝึกตอบ” ส่วน ชัยยงค์
พรหมวงศ์ กล่าวถึงความหมายของแบบฝึกสรุปได้ว่า แบบฝึกหมายถึง สิ่งที่นักเรียนต้องใช้ควบคู่กับการ
เรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่ครอบคลุมกิจกรรมที่นักเรียนพึงกระทําจะแยกกันเป็นหน่วยหรือจะรวม
เล่มก็ได้ และ อัจฉรา ชีวพันธ์ และ คณะ กล่าวถึงแบบฝึกทางภาษาสรุปได้ว่า แบบฝึกทางภาษา
หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นเสริมสร้างความเข้าใจทางภาษาตามแนวหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และ
เสริมเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนที่ช่วยให้นักเรียนนําความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
                     จากความหมายของแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึก หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้น
เพื่อเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนได้กระทํากิจกรรมโดยมีจุดมุ่งหมาย
เพื่อพัฒนาความสามารถของนักเรียนให้ดีขึ้น
7
       2.2.2            ความสาคัญของแบบฝึก
                       เชาวนี เกิดเพทางค์ (2524 : 23) ได้กล่าวถึงความสําคัญของแบบฝึกไว้ว่า “แบบ
ฝึกเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ทําให้นักเรียนเกิดความสนใจ และช่วยให้ครูทราบผลการเรียน
ของนักเรียนอย่างใกล้ชิด” ส่วน วีระ ไทยพานิช (2528 : 11) ได้กล่าวถึงความสําคัญของแบบฝึก
สรุปได้ว่า แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่เกิดจากการกระทําจริง เป็นประสบการณ์ตรง ที่
ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ทําให้นักเรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียน สามารถเรียนรู้ และจดจําสิ่งที่
เรียนได้ดีและนําไปใช้ในสถานการณ์เช่นเดียวกันได้           และ Petty         (อ้างถึงใน เพียงจิต. 2529
: 18 – 20)         ได้กล่าวว่า
                         … แบบฝึกเป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมจากหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การ
สอนที่ช่วยลดภาระของครูได้มาก เพราะแบบฝึกเป็นสิ่งที่ทําขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ระบบ ช่วยให้นักเรียนฝึก
ทักษะการใช้ภาษาดีขึ้น และช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน นอกจากนี้แบบฝึกยังใช้เป็นเครื่องมือวัดผล
การเรียนหลังจากบทเรียนในแต่ละครั้ง…
                       แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนชนิดหนึ่งที่ทําขึ้นอย่างเป็นระบบ สามารถพัฒนาการเรียนของ
นักเรียนได้ เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน คือ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้เป็น
เครื่องมือวัดผลและประเมินผลการเรียน ช่วยให้ครูทราบความก้าวหน้าหรือข้อบกพร่องของนักเรียน
และช่วยให้นักเรียนประสบผลสําเร็จในการเรียน

       2.2.3       ประโยชน์ของแบบฝึก
                 Green และ Petty (1971: 80) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ ดังนี้
                 1. ใช้เสริมหนังสือแบบเรียนในการเรียนทักษะ
                 2. เป็นสื่อการสอนที่ช่วยแบ่งเบาภาระของครู
                 3. เป็นเครื่องมือที่ช่วยฝึกฝนและส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้น แต่จะต้องได้รับ
การดูแลและเอาใจใส่จากครูด้วย
                 4. แบบฝึกที่สร้างขึ้นโดยคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลจะเป็นการช่วยให้เด็ก
ประสบความสําเร็จ ตามระดับความสามารถของเด็ก
                 5. จะช่วยเสริมทักษะให้คงอยู่ได้นาน
                 6. เป็นเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจบบทเรียนแต่ละครั้ง
                 7. แบบฝึกที่จัดทําเป็นรูปเล่มจะอํานวยความสะดวกแก่นักเรียนในการเก็บรักษาไว้เพื่อ
ทบทวนด้วยตนเองได้
                 8. ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องในการสอน ตลอดจนทราบปัญหาและ
ข้อบกพร่องและจุดอ่อนของนักเรียน ช่วยให้ครูสามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที
                 9. ช่วยให้เด็กมีโอกาสฝึกทักษะได้อย่างเต็มที่
                 10. แบบฝึกทักษะที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยครูประหยัดเวลา และแรงงานใน
การสอนการเตรียมการสอน         การสร้างแบบฝึกทักษะ         และช่วยให้นักเรียนประหยัดเวลาในการลอก
โจทย์แบบฝึกหัด
                 จากความสําคัญของแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึกนอกจากจะช่วยให้นักเรียนได้มี
โอกาสฝึกฝนทักษะ และทบทวนได้ด้วยตนเองแล้ว ยังช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องในการ
สอน ทราบปัญหา และข้อบกพร่อง จุดอ่อนของนักเรียน เพื่อครูจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที นอกจากนี้
ยังช่วยประหยัดเวลา แรงงาน ในการเตรียมการสอนของครู ตลอดจนช่วยประหยัดเวลาในการลอก
โจทย์แบบฝึกหัดของนักเรียนด้วย
8
       2.2.4            ลักษณะของแบบฝึกที่ดี
                     ภาษาอังกฤษเป็นวิชาทักษะ ต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้สอนควรสร้างแบบฝึก
เพื่อทบทวนความรู้หรือฝึกทักษะให้แก่นักเรียน ก่อ สวัสดิพาณิชย์ (2524 : 20) กล่าวถึงลักษณะ
ของแบบฝึกที่ดีว่า“ลักษณะของแบบฝึกควรสั้นและมีหลายแบบเพื่อฝึกทักษะเดียว ใช้ได้ตามสภาพความ
แตกต่างระหว่างบุคคลและมีการประเมินผลการใช้แบบฝึกของนักเรียนด้วย”                ประชุมพร สุวรรณ
ตรา (2527 : 61) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดีว่า “มีคําสั่งและคําอธิบายอย่างชัดเจน มีตัวอย่างที่ให้
ความคิดหลายแนวมีภาพประกอบ และเส้นบรรทัดที่เว้นให้เติมมีขนาดพอเหมาะการฝึกฝนควรมีหลาย ๆ
แบบ และต้องคํานึงถึงความยากง่าย และระยะเวลาในการฝึกด้วย” ส่วน โรจนา แสงรุ่งรวี (2531
: 22 ) กล่าวถึงแบบฝึกเสริมทักษะที่ดีว่า “แบบฝึกที่ดีต้องมีคําอธิบายชัดเจนเป็นแบบฝึกสั้น ๆ ใช้เวลา
ฝึกไม่นานเกินไปแบบฝึกมีหลายรูปแบบ คําศัพท์ที่ใช้ฝึกสามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้” นอกจากนี้
วิไลลักษณ์ บุญประเสริฐ (2531 : 13) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดีว่า
                 … ลักษณะของแบบฝึกที่ดีนั้นต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับนักเรียนตลอดจนคํานึงถึง
จิตวิทยาเกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนองพัฒนาการของเด็ก และลําดับขั้นของการเรียน นอกจากนั้น
จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับวัย และความสามารถของเด็กซึ่งแบบฝึกจะประกอบด้วยคําชี้แจงและ
ตัวอย่างสั้น ๆ ที่จะทําให้เด็กเข้าใจง่าย ใช้เวลาเหมาะสมและมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เรียนไปแล้ว
นอกจากนี้แบบฝึกควรมีหลายแบบเพื่อสร้างความสนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ…
                     จากข้อความที่กล่าวมาแล้ว พอสรุปได้ว่า แบบฝึกที่ดีควรเหมาะสมกับนักเรียนในด้าน
วัยความสามารถ ความสนใจ มีคําชี้แจงและตัวอย่างสั้น ๆ มีหลายรูปแบบ ใช้เวลาฝึกไม่นาน
จนเกินไป เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจชัดเจน สามารถพัฒนาทักษะทางภาษาของนักเรียนให้ดีขึ้น

       2.2.5           ประสิทธิภาพของแบบฝึก
                    การสร้างแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพนั้นมีหลักในการสร้างหลายประการ ดังที่ ธูป
ทองปราบพาล (25251 : 91) ได้กล่าวถึงหลักในการฝึกฝนทักษะทางภาษาไว้ว่า “การฝึกฝนควรมีหลาย
แบบ เช่น ใช้เกม การเติมคํา ใช้เพลง ใช้แผ่นภาพ ใช้การ์ตูนประกอบ ใช้แบบฝึก เป็นต้น
ส่วนการสร้างแบบฝึกควรคํานึงถึงเนื้อหา ความยากง่าย และระดับความสนใจของเด็ก” รัชนี ศรี
ไพรวรรณ (2527 : 18) กล่าวถึงหลักในการสร้างแบบฝึกว่า… แบบฝึกต้องมีรูปแบบที่จูงใจ และ
เป็นไปตามลําดับความยากง่ายเพื่อให้เด็กมีกําลังใจทํา มีจุดมุ่งหมายว่าจะฝึกด้านใดเพื่อให้เด็กเข้าใจ
แบบฝึกต้องมีการถูกต้อง ในการให้เด็กทําแบบฝึกทุกครั้งต้องให้เหมาะสมกับเวลา เหมาะกับความ
สนใจ ควรทําแบบฝึกหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เด็กเรียนได้กว้างขวาง และส่งเสริมให้เกิดความคิด
นอกจากนั้นกระดาษที่ให้เด็กทําแบบฝึกต้องเหนียวและทนทานพอสมควร…
                วิไลลักษณ์ บุญประเสริฐ (2531 : 13) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบฝึกสรุปได้ว่า ใน
การสร้างแบบฝึกที่ดีต้องเรียบเรียงภาษาให้เหมาะสมกับนักเรียน คํานึงถึงหลักจิตวิทยาเกี่ยวกับสิ่งเร้า
และการตอบสนอง พัฒนาการของเด็ก และลําดับขั้นของการเรียน โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับวัย
และความสามารถของนักเรียน
                    จากหลักการดังกล่าว พอสรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกนั้นจะต้องคํานึงถึงความพร้อม
ความสนใจของเด็ก ด้วยการใช้เกม การเติมคํา เพลง แผ่นภาพ การ์ตูนประกอบ กระดาษที่ใช้
ทําแบบฝึกต้องมีความทนทานพอสมควร เนื้อหาไม่ยากเกินไป และกําหนดเวลาในการทําแบบฝึกที่
เหมาะสม แบบฝึกที่สร้างขึ้นควรมีการหาประสิทธิภาพให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน และในการนําแบบฝึก
ไปใช้นั้นควรมีการแจ้งผลการเรียนให้นักเรียนทราบผลทันที เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและ
ข้อบกพร่องที่ต้องการปรับปรุงแก้ไข
9
2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียน
           2.3.1 ความหมายและความสาคัญของการเขียน
                       การเขียน เป็นการแสดงความคิด ความรู้สึก และความรู้ของผู้เขียนออกมาเป็นลาย
ลักษณ์อักษร เพื่อให้อ่านเข้าใจความคิดของผู้เขียน สุจริต เพียรชอบ และ สายใจ อินทรัมพรรย์
(2523 : 134) ได้กล่าวถึงความหมายของการเขียนไว้ว่า
                       การเขียนคือการเรียบเรียงความรู้ ความคิด ประสบการณ์ต่าง ๆ ตลอดจน
ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร จะเป็นข้อความสั้น ๆ ทํานองคําขวัญร้อย
แก้วสั้น ๆ หรือบทกวีนิพนธ์ก็ได้ ข้อเขียนต่าง ๆ เหล่านี้จะมีเอกภาพ มีความเป็นตัวของมันเองทั้งในด้าน
ความคิดและการใช้ภาษาเรียบเรียง
                  เมื่อผู้เขียนสามารถเรียบเรียงความรู้ ความคิดของตนเองออกมาเป็นภาษาเขียนได้แล้ว ก็
จะต้องเขียนเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ และสามารถใช้ภาษาเขียนได้อย่างถูกต้องอีกด้วย ดังที่โร
เบิร์ต ลาโด (Robert Lado 1977 : 145) ได้กล่าวถึงความหมายของการเขียนไว้ว่า
                        การเขียน คือ การสื่อความหมายด้วยตัวอักษรของภาษาซึ่งเป็นที่เข้าใจกันระหว่าง
ผู้เขียนและผู้อ่าน การเขียนเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย การเขียนโดยไม่ทราบ
ความหมายไม่นับว่าเป็นการเขียน ถือเป็นเพียงการจารึกตัวอักษรลงบนสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น การเขียน
จะต้องเป็นการใช้ตัวอักษรอย่างมีความหมาย ใช้วิธีเรียบเรียงใจความตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่ใช้
ใช้แบบของการเขียนให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเขียนนั้น ๆ ตลอดจนการใช้ถ้อยคําสํานวนโวหารได้อย่าง
ถูกต้อง
                     จากความหมายของการเขียนดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่า การเขียนคือการสื่อความหมาย
โดยการเรียบเรียงความรู้ ความคิด และความรู้สึก ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้เขียน มี
จุดมุ่งหมายเพื่อสื่อสารระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน
                     การเขียน เป็นทักษะที่สําคัญทักษะหนึ่งในการใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาเขียนใช้ในการสื่อ
ความหมายที่ได้ความและปรากฏหลักฐานมั่นคง เพราะไม่ลบเลือนเร็วเหมือนคําพูด ภาษาเขียนจึงใช้ใน
การติดต่อสื่อสารได้ดีแม้ในระยะทางไกล แต่การที่จะสื่อสารได้ดีนั้นผู้เขียนต้องมีความสามารถในการ
เขียน คือใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และสามารถทําให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนเขียนได้
การเขียนจึงต้องมีการฝึกฝนบ่อย ๆ เพื่อให้เกิดความชํานาญและต้องอาศัยการอ่านมาก ๆ เพื่อนําข้อมูล
จากการอ่านมาเป็นแนวทางในการเขียน นอกจากนี้ ในการเขียนจะต้องให้ผู้อ่านติดใจ ซึ่งถ้าดูเผิน ๆ
แล้วจะเห็นว่าการเขียนไม่น่าจะมีลักษณะพิเศษอย่างไร นึกอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วการ
เขียนหนังสือจะต้องรู้ลักษณะของภาษาว่า เขียนอย่างไรจึงจะทําให้ผู้อ่านเข้าใจและติดใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับ
คุณภาพของงานเขียนนั้น ศรีวิไล ดอกจันทร์ (2523 : 202-203) กล่าวถึงทักษะในการเขียนว่าต้อง
รู้จักแสดงความคิดออกมา เป็นตัวหนังสือให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตามที่ตนประสงค์ให้สามารถเขียนตัวสะกดได้
ถูกต้องตามอักขรวิธี เขียนให้อ่านง่าย ชัดเจน เรียบร้อย รวดเร็วรู้จักเลือกใช้ถ้อยสํานวนให้เหมาะสมกับ
เนื้อเรื่อง รู้จักลําดับความคิดและแสดงความคิดออกมาเป็นตัวหนังสือให้ผู้อ่านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง
                       การเขียน เป็นระบบการสื่อสารและบันทึกถ่ายทอดภาษา เพื่อแสดงความรู้
ความคิดและความรู้สึก โดยใช้ตัวหนังสือเป็นสัญลักษณ์ ประสิทธิภาพของการเขียนจึงอยู่ที่
ความสามารถทางความคิด และการใช้ภาษาของผู้เขียนเอง                       เมื่อพิจารณาฝึกทักษะทางภาษาทั้ง 4
ด้าน คือ การฟัง                   การพูด การอ่าน         และการเขียนแล้ว           จะเห็นว่าทักษะการเขียนเป็น
ทักษะหลังสุดที่ผเรียนจะได้รับการฝึกอย่างจริงจัง
                  ู้                                      ทั้งนี้เนื่องจาก        การเขียนเป็นทักษะที่ยากและ
ซับซ้อนที่สุดในทักษะทั้งหมด          ผู้ที่จะมีความสามารถทางการเขียนได้จึงต้องมีพื้นฐานในทักษะการฟัง
การพูด และการอ่านมาก่อน
10
                         ในบรรดาทักษะทั้งสี่ของการเรียนภาษา                การเขียนนับเป็นทักษะที่ยุ่งยาก
ซับซ้อนที่สุดในการฟังและการอ่าน             นักเรียนจะได้รับฟังหรือเห็นข้อความจากผู้เขียน       จึงมีบทบาท
เพียงแต่ตีความหรือวิเคราะห์ว่าตนเองกําลังได้ยินหรืออ่านอะไร ในการพูด นักเรียนสามารถแสดง
ความคิด ความรู้สึกของตนเอง                  และมีโอกาสให้คําอธิบายแทรกในบทสนทนาได้            แต่ในการเขียน
นั้นต้องมีความสามารถอย่างแท้จริงจึงจะเขียนข้อความได้ชัดเจนจนผู้อ่านเข้าใจได้
                         การเขียนเป็นวิธีการถ่ายถอดความรู้ ความคิด ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ
โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อความเข้าใจระหว่างผู้อ่านและผู้เขียน รวมทั้งชักนําความรู้
ความคิดประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก จากผู้หนึ่งไปสู่อีกผู้หนึ่งหรือคนจํานวนมากได้อีกด้วย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการที่ผู้เขียนจะมีเจตนารมณ์เช่นใด และมีความสามารถในการเลือกสรรถ้อยคําเพื่อใช้ในการ
เขียนได้ดีเพียงใดอีกด้วย นอกจากนี้การเขียนยังถือเป็นทักษะทางภาษาอันดับสี่ ซึ่งหมายถึงว่าบุคคล
จะต้องมีความสามารถในทางภาษาด้านการพูด การฟัง และการอ่านมาก่อน จึงนับได้ว่าการเขียน
มีบทบาทสําคัญมากในชีวิตประจําวันของคนเราในฐานะของการสื่อสารที่มีความชัดเจนและเป็นหลักฐานที่
แน่นอนกว่าทักษะทางภาษาทั้งสามด้าน โดยเฉพาะการอ่านถ่ายทอดวิทยาการต่าง ๆ ในปัจจุบัน ผู้
ศึกษาก็สามารถเพิ่มพูนความรู้จากงานเขียนต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าวิธีการอื่น ๆ วัลภา เทพหัสดิน ณ
อยุธยา (2526 : 11 – 13) กล่าวถึงความสําคัญของการเขียน พอสรุปได้ดังนี้
                         1. การเขียนเป็นวัฒนธรรมที่สําคัญของชาติ เพราะภาษาเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์
และวิถีชีวิตของคนในชาติ
                         2. การเขียนทําให้เกิดวรรณคดี ถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความงอกงามทาง
สติปัญญา จินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของคนในชาติ
                         3. การเขียนเป็นสื่อในการสร้างความมั่นคงของประเทศ เช่น การเขียนเพื่อก่อให้เกิด
ความสามัคคี การเขียนข่าวสาร เป็นต้น
                         4. การเขียนมีความสําคัญต่อการศึกษา เช่น การเขียนสื่อสารกับผู้สอนในการ
ตอบข้อสอบหรือเขียนรายงาน หรือครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเขียนตํารา เอกสาร งานวิจัย การเขียน
ที่มีคุณภาพย่อมสามารถสื่อสารให้บุคคลสองฝ่ายเข้าใจกันได้ดี
                         ภาษาเขียนถือเป็นภาษาที่มีประโยชน์ต่อบุคคลในสังคมอย่างมาก ฉะนั้นจึงควร
สนับสนุนให้มีการศึกษา และฝึกการใช้ภาษาเขียนอย่างถูกต้อง เพื่อให้บุคคลให้ภาษาเขียนได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ

2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน
          2.4.1 ความหมายของการอ่าน
          การอ่านนับได้ว่าเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อน จะต้องอาศัยการทํางานของสมองในขั้นสูงสุดกล่าวคือ
ต้องอาศัยการนึกย้อนกลับ (Recall) การหาเหตุผล (Reasoning) การประเมินผล (Evaluation) การใช้
จินตนาการ (Imagination) การเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ (Organizing) การนําไปใช้ (Applying) และการ
แก้ปัญหา (Problem Solving) (อุทัย ภิรมย์รื่น และเพ็ญศรี รังสิยากูล 2521 : 3) และการอ่านคือ
อะไรนั้นมีผู้ให้นิยามไว้มากมายแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่ผู้ให้ความหมายนั้นจะมองในด้านใด เช่น
นักจิตวิทยาจะมองการอ่านในแง่จิตวิทยา นักภาษาศาสตร์จะมองการอ่านในแง่ของภาษา หรือนักจิต
ภาษาศาสตร์ก็มองการอ่านในแง่ของจิตภาษาศาสตร์
          สําหรับนิยามหรือความหมายของการอ่านนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย ดังนี้
          ก่อ สวัสดิพาณิชย์ (ก่อ สวัสดิพาณิชย์ 2505 : 3) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า “เป็น
การแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นตัวความคิด และนําความคิดนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ตัวอักษร
เป็นเครื่องหมายแทนคําพูด และคําพูดก็เป็นเพียงเสียงที่ใช้แทนของจริงอีกทีหนึ่ง” เพราะฉะนั้นหัวใจของ
การอ่านอยู่ที่ “การเข้าใจความหมายของคํา” ศาสตราจารย์รัญจวน อินทรกําแหง (รัญจวน อินทรกํา
11
แหง และคนอื่น ๆ 2515 : 17) กล่าวถึง ความหมายของการอ่านไว้ว่า คือ “การแปลสื่อความหมาย
จากตัวอักษรหรือภาพ ให้เป็นเรื่องราวที่เป็นแนวความคิด โดยให้มีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและชัดเจน
การอ่านจะต้องจับใจความสําคัญของข้อความ และ
สามารถผูกเป็นเรื่องราวได้ถูกต้อง ผู้อ่านจะต้องสร้างมโนภาพขึ้นมาพร้อมกับการอ่านไปด้วย”
           บอนด์ และทิงเคอร์ (Bond and Tinker. 1957 : 19) ได้กล่าวว่าการอ่านคือความเข้าใจ
ตัวอักษร ซึ่งเร้าใจให้ผู้อ่านระลึกถึงความหมายที่ได้สร้างขึ้นจากประสบการณ์ และความหมายที่ได้ใหม่
จะเป็นผลของความคิดรวบยอดที่มีอยู่เดิม กล่าวง่าย ๆ ก็คือกระบวนการอ่านประกอบด้วยความหมายของ
ผู้เรียน รวมกับการตีความ การประเมินผลและการตอบสนองของผู้อ่านที่มีต่อความหมาย
           นิวเวล และไซมอน (Newell and Simon. 1970 : 310 -315) กล่าวว่า การอ่านคือ
กระบวนการทางจิตภาษาศาสตร์ การอ่านผู้อ่านจะใช้ระบบการรับข่าวสารการรัยรู้สิ่งที่อ่านโดยใช้ตาเป็น
อวัยวะสัมผัสจับสิ่งที่เป็นตัวหนังสือส่งไปยังหน่วยการรับรู้สึกเกี่ยวกับการอ่านแล้วส่งไปยังกระบวนการ
ความจํา เมื่อสิ่งที่อ่านผ่านกระบวนการจําไปแล้วจะถูกส่งกลับมายังตัวรับหน่วยสิ่งที่อ่านใหม่อีกครั้ง
จากนั้นจึงส่งมายังหน่วยปฏิบัติการอ่านออกมาเป็นเสียง หรือความเข้าใจ
           เดอชองท์ (Dechant. 1969 : 11) กล่าวว่า การอ่านมิใช่เพียงความเข้าใจในสัญลักษณ์หรือการ
ออกเสียง หรือการรับความหมายจากตัวหนังสือ แต่ผู้อ่านจะได้รับการกระตุ้นจากตัวหนังสือและต้องปรับ
ความหมายของตัวหนังสือเหล่านั้นให้เข้ากับความหมายที่ผู้อ่านมีอยู่แล้ว
           ฟรีส์ (Fries. 1963 : 131) กล่าวว่าการอ่านคือ การตอบสนองสัญลักษณ์ทางภาษา ซึ่งเป็น
ตัวแทนของคําพูด หัวใจของการอ่านอยู่ที่การเข้าใจความหมายในสิ่งที่อ่าน
           สมิธ (Smith. 1967 : 11) ให้นิยามการอ่านว่า เป็นคําพูดที่ถูกบันทึกเก็บไว้เมื่อเราพูด เราต้อง
ช้ําศัพท์เพื่อสื่อความคิดของเรา และในเวลาเดียวกันจะต้องรับรู้ด้วยว่าจะเรียบเรียงคําพูดนั้นอย่างไร จึง
จะได้รับผลตามความมุ่งหมาย ซึ่งอาจต้องใช้เสียงหรือสัญลักษณ์แทนก็ได้
           ลาโด (Lado. 1964 : 14) กล่าวว่า การอ่านเป็นการรวมทักษะในการถอดความการวิเคราะห์
คํา ความหมายของคํา ความเข้าใจเนื้อเรื่อง การตีความและการให้ข้อคิดเห็น ส่วนนักภาษาศาสตร์อีก
คน คือ ฟรีส์ (Fries. 1963 : 131) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่าเป็นการตอบสนองสัญลักษณ์ทาง
ภาษา ซึ่งเป็นตัวแทนของภาษาพูด หัวใจของการอ่านนั้นอยู่ที่การเข้าใจความหมายของคํา
           เกรย์ (Gray. 1984 : 35 – 37) กล่าวว่ากระบวนการอ่านประกอบด้วยทักษะที่สําคัญหลาย
อย่างดังนี้
           1. การรู้จักคํา (Perception of the word used) ผู้อ่านจะอ่านหนังสือได้เข้าใจก็ต่อเมื่อมี
ความสามารถในการอ่านตัวอักษร และเข้าใจความหมายตรงกับผู้เขียน เกรย์ กล่าวว่า การเข้าใจ
ความหมายของคําเป็นทักษะเบื้องต้นของการอ่านทุกประเภท
           2. การเข้าใจความคิดของผู้เขียน (Comprehension of the ideas expressed)
           3. การมีปฏิกิริยาตอบโต้ความคิดของผู้เขียน (Reaction to these ideas) เป็นการประเมิน
ความคิดของผู้เขียนจากเรื่องที่อ่าน ซึ่งผลของการประเมินจะเป็นการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้
           4. ทักษะในการผสมผสานความคิดใหม่กับความคิดเก่า จากเรื่องที่อ่าน (Integration of
the idea) ซึ่งหมายถึงการรวมความคิดที่ได้รับจากเรื่องที่อ่านกับประเดิมของผู้อ่าน
           บอนด์ และทิงเคอร์ (Bond and Tinker. 1957 : 235) กล่าวว่า ความสามารถในการอ่าน
ขึ้นอยู่กับทักษะพื้นฐานดังต่อไปนี้
                   1. การเข้าใจความหมายของคํา (Word meaning) การเข้าใจความหมายของคํา
เป็นทักษะพื้นฐานของการอ่าน ถ้าหากนักเรียนเรียนรู้ความหมายของคําไม่เพียงพอ นักเรียนจะไม่เข้าใจ
ประโยค (Sentence) อนุเฉท (Paragraph) และไม่สามารถพูดหรืออ่านได้
                   2. การเข้าใจความหมายของกลุ่มคํา (Thought Units) นักเรียนจะสามารถเข้าใจ
ความหมายของประโยคได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนรู้จักอ่านเป็นกลุ่มคํา การอ่านทีละคําทําให้ไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน
12
                   3. การเข้าใจประโยค (Sentence Comprehension) เมื่อนักเรียนเข้าใจความหมาย
ของกลุ่มคําแล้วยังต้องรู้จักนําเอาคําแต่ละคําหรือแต่ละส่วนมาสัมพันธ์กันจนได้ใจความของประโยค
                   4. การเข้าใจอนุเฉท (Paragraph Comprehension) หมายถึง ความสามารถนํา
การนําประโยคในตอนนั้น ๆ มาสัมพันธ์กัน นักเรียนจะสามารถอ่านได้เข้าใจยิ่งขึ้น
                   5. การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท (Comprehension of larger units)
นักเรียนจะสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องที่ยาวขึ้นได้ก็ต่อนักเรียนสามารถจัดลําดับความคิดของเรื่องที่อ่านได้ และ
จะต้องมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทด้วย
                   ทักษะพื้นฐานตามที่กล่าวมาแล้วนี้ จะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ
ผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ ก็ต่อเมื่อผู้อ่านเข้าใจความหมายของคํา รู้จักอ่านเป็นกลุ่มคํา ซึ่งเป็น
องค์ประกอบสําคัญของการเข้าใจประโยค การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประโยคจะทําให้เข้าใจอนุเฉท
และการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทจะทําให้เข้าใจเรื่องที่อ่านทั้งหมด
                   พอจะสรุปได้ว่า การอ่านคือ การเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน และสามารถ
แปลความ ตีความและขยายความ สัญลักษณ์หรือตัวอักษรที่ปรากฏออกมา เป็นความคิดเห็นที่นํามาใช้
ให้เกิดประโยชน์ได้

        2.4.2 ความเข้าใจในการอ่าน
                ชวาล แพรัตกุล (ชวาล แพรัตกุล. 2520 : 134) ได้ให้ความหมายของความเข้าใจ
ว่าเป็นความสามารถในการผสมแล้วขยายความรู้ความจําให้ได้ไกลออกไปจากเดิมอย่างสมเหตุสมผล ซึ่ง
จะต้องมีคุณสมบัติหลายประการ ดังนี้คือ
        1. รู้ความหมายและรายละเอียดย่อย ๆ ของเรื่องนั้นมาก่อนแล้ว
        2. รู้ความเกี่ยวข้องความสัมพันธ์ระหว่างขั้นและความรู้ย่อย ๆ เหล่านั้น
        3. สามารถอธิบายสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยภาษาของตนเอง
        4. เมื่อพบสิ่งอันใด ที่มีสภาพทํานองเดียวกับที่เคยเรียนรู้มาแล้ว ก็สามารถตอบและอธิบายได้

          ความเข้าใจสามารถแสดงได้ดังนี้
          1. การแปลความ (Translation) คือ สามารถแปลความหมายของสิ่งต่าง ๆ ได้โดยแปลลักษณะ
และนัยของเรื่องราว ซึ่งเป็นความหมายที่ถูกต้องและใช้ได้ดีสําหรับเรื่องราวนั้นโดยเฉพาะ
          2. การตีความ (Interpretation) คือ ความสามารถจับความสัมพันธ์ระหว่างชิ้นส่วนย่อย ๆ ของ
เรื่องนั้น จนสามารถนํามากล่าวอีกนัยหนึ่งได้
          3. การขยายความ (Extrapolation) คือ ความสามารถขยายความหมายตามนัยของเรื่องนั้นให้
กว้างไกลไปจากสภาพข้อเท็จจริงเดิมได้
       ทั้งนี้ สอดคล้องกับของ สมบูรณ์ ชิตพงศ์ (สมบูรณ์ ชิตพงศ์. 2523 : 27) ว่า ความเข้าใจ
(Comprehension) เป็นความสามารถทางด้านสมองในการคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในด้านการแปลความ
ตีความ และขยายความในเรื่องราวและเหตุต่าง ๆ ในชีวิต และนอกจากนี้ พัฒน์ น้อยแสงศรี (พัฒน์
น้อยแสงศรี. 2520 : 76) สรุปว่าการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading for comprehension) จะต้องมี
ความสามารถในด้านความหมายของคํา (Word meaning) สังกัป (Concept) โครงสร้างประโยค
(Sentence structure) โครงสร้างอนุเฉท (Paragraph structure) นอกจากนี้แล้วยังเกี่ยวพันธ์กับ
ทัศนคติ (Attitude) และจุดประสงค์ (Purpose) ของผู้อ่านด้วย
13
        การวิจัยและศึกษาเรื่องการอ่านในต่างประเทศ เป็นที่สนใจและได้ศึกษากันมาเป็นเวลานานแล้ว
เช่น ศึกษาว่าสิ่งใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อการอ่าน หรือต่อความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่อ่าน เกทส์
(ปริญญา เกื้อหนุน. 2515 : 3) อ้างอิงมาจาก (Gates. 1947 : 356) มีความเห็นว่าความเข้าใจใน
การอ่านขึ้นอยู่กับความเข้าใจความหมายของคําต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ความเข้าใจในการอ่านพิจารณาได้
จากลักษณะต่อไปนี้
        1. ชนิดของความเข้าใจในการอ่าน (Type of reading comprehension) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด คือ
                  1.1 อ่านเพื่อเก็บความสําคัญ หรือเก็บใจความโดยทั่วไป
                  1.2 อ่านเพื่อศึกษารายละเอียดที่สําคัญ
                  1.3 อ่านเพื่อคาดการณ์ว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร
                  1.4 อ่านเพื่อรวบรวมเรื่องหรือย่อโดยนํามาเขียนเสียใหม่
                  1.5 อ่านเพื่อประเมินคุณค่าของเรื่องที่อ่าน
                  1.6 อ่านเพื่อสรุปความในรูปต่าง ๆ เช่น เรื่องย่อ และโครงเรื่อง
                  1.7 การอ่านเพื่อเปรียบเทียบ
                  1.8 การอ่านเพื่อจดจําเนื้อหาไปใช้

           2. ปริมาณความสามารถในการอ่าน (Ability in reading)
ปริมาณความสามารถในการอ่านขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญา และประสบการณ์ของผู้อ่าน ตลอดจนความ
ยากง่ายของเรื่องที่อ่าน
           3. ระดับความเข้าใจของการอ่าน (Levels of reading comprehension) ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ
หลายประการ เช่น สติปัญญา ความสามารถในการอ่าน ความเข้าใจศัพท์ที่อ่าน และวิธีการพิเศษ
เฉพาะตัวผู้อ่านแต่ละคน
           4. ระดับความเร็วในการอ่าน (Speed of reading comprehension)
           ความเร็วในการอ่านขึ้นอยู่กับความสามารถในการอ่าน ความเร็วในการรับรู้ตัวอักษร ความยาก
ง่ายของเนื้อหา และประเภทของการอ่าน
           จะเห็นได้ว่า การอ่านเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก การที่บุคคลจะอ่านได้เข้าใจนั้นขึ้นอยู่กับ
ความสามารถทางภาษาซึ่งได้แก่ คําศัพท์และโครงสร้างของประโยคและความสามารถในการคิด ซึ่ง
ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมและระดับสติปัญญาของผู้อ่านเป็นสําคัญ
           ส่วนบอนด์และทิงเกอร์ (สารภี จีนจู. 2524 : 7 – 8 อ้างอิงมาจาก (Bond and Tinker.
1957 : 235) ได้กล่าวถึงความสามารถในการอ่านที่ต้องอาศัยพื้นฐานความเข้าใจในด้านต่อไปนี้
           1. การเข้าใจความหมายของคํา (Word meaning) การเข้าใจความหมายของคําเป็นทักษะ
พื้นฐานของการอ่าน ถ้านักเรียนรู้ความหมายของคําไม่เพียงพอนักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจประโยค
(Sentence) อนุเฉท (Paragraph)
           2. การเข้าใจความหมายของกลุ่มคํา (Thought units) นักเรียนจะเข้าใจความหมายของ
ประโยคได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนรู้จักอ่านเป็นกลุ่มคํา การอ่านทีละคําทําให้ไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน
           3. การเข้าใจประโยค (Sentence Comprehension) นอกจากนักเรียนจะต้องเข้าใจความหมาย
เป็นรายคําและเป็นกลุ่มคําแล้ว นักเรียนจะต้องมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคํา และความสัมพันธ์
ระหว่างกลุ่มคําในประโยคด้วย นักเรียนที่ไม่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคําและระหว่างกลุ่มคํา
ในประโยค จะไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน
           4. ความเข้าใจอนุเฉท (Paragraph comprehension) นักเรียนจะเข้าใจอนุเฉทได้ก็ต่อเมื่อ
นักเรียนมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประโยคค่อนข้างจะยาก แต่
ถ้านักเรียนขาดความสามารถทางด้านนี้แล้ว นักเรียนจําไม่สามารถเข้าใจเรื่องที่อ่านได้
14
        5. ความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท (Comprehension of larger units) นักเรียนจะ
สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องที่ยาวขึ้นก็ต่อเมื่อนักเรียนสามารถจักลําดับความคิดของเรื่องที่อ่านได้และจะต้อง
มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทได้
        ดังนั้นความเข้าใจในการอ่านจึงเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการศึกษาและประสบการณ์
ต่าง ๆ หลาย ๆ ด้านของแต่ละบุคคล (สุนทร เซ็นเชาวนิช. 2526 : 88) ฉะนั้นจึงจําเป็นที่นักเรียน
จะต้องได้รับฝึกฝนทักษะในการอ่านเป็นอย่างดี เพราะการที่นักเรียนอ่านแล้วไม่เกิดความเข้าใจ นอกจาก
จะทําให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้วยังไม่ได้อะไรจากการอ่าน

          ดอว์สัน (Dawson. 1953 : 177) ได้เสนอแนวทางในการสอนนักเรียนให้มีความเข้าใจในเนื้อ
เรื่องไว้ดังนี้
          1. สอนให้นักเรียนเข้าใจความ กลุ่มคํา ประโยค และข้อความสั้น ๆ
          2. ฝึกให้นักเรียนจับความติดที่สําคัญได้ โดยการตั้งคําถามให้นักเรียนคิดถึงเรื่องที่อ่านไปแล้ว
                ทั้งหมด เช่น เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร สอนว่าอย่างไร
          3. ฝึกให้อ่านเพื่อสังเกตรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกันโดยกําหนดให้อ่านและวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่อ่าน
          4. ฝึกให้อ่านเพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป หรือเพื่อแก้ปัญหาโดยการเล่าเรื่องทิ้งท้ายให้
                นักเรียนทายต่อว่าอะไรจะเกิดขึ้น
          5. ฝึกให้อ่านโดยกําหนดว่า ต้องการให้รู้เรื่องใดบ้าง
          6. ฝึกให้อ่านเพื่อให้มีจินตนาการเพิ่มขึ้น
          7. ฝึกให้อ่านเพื่อทราบการจัดระเบียบหรือแนวการลําดับความของนักเรียน

         2.4.3 ระดับความเข้าใจในการอ่าน
         นพรัตน์ สรวยสุวรรณ (นพรัตน์ สรวยสุวรราถณ. 2521 : 17) ได้อ้างถึงระดับความเข้าใจใน
การอ่านตามความคิดของ เบอร์มิสเตอร์ (Burmister) โดยอาศัยพื้นฐานแนวความคิดของ แซนเดอร์ส
(Sanders) ซึ่งได้ดัดแปลงมาจาก Bloom’s Taxonomy อีกต่อหนึ่ง เบอร์มิสเตอร์ ได้กล่าวถึงระดับ
ต่าง ๆ ของความเข้าใจมีดังนี้
         1. ระดับความจํา (Memory) เป็นระดับของการจําในสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวไว้ ได้แก่ การจํา หรือ
การเข้าใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริง วันที่ คําจํากัดความ ใจความสําคัญของเรื่อง และลําดับเหตุการณ์ของ
เรื่อง
         2. ระดับการแปลความหมาย (Translation) เป็นการนําข้อความหรือสิ่งที่เข้าใจไปแปลเป็นรูป
อื่น เช่น การแปลภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง การถอดความ การนําใจความสําคัญไปแปลรูปเป็น
แผนภูมิ เป็นต้น
         3. ระดับการตีความ (Interpretation) คือการเข้าใจหรือมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่ผู้เขียน
มิได้บอกไว้ เช่น หาเหตุเมื่อกําหนดผลมาให้ การคาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป การจับใจความของ
เรื่องโดยที่ผู้เขียนมิได้บ่งไว้
         4. ระดับการประยุกต์ใช้ (Application) เป็นการเข้าใจหรือมองเห็นหลักการและสามารถนํา
หลักการไปประยุกต์ใช้จนประสบความสําเร็จด้วย
         5. ระดับการวิเคราะห์ (Analysis) คือความเข้าใจและรู้ในแง่ของการตรวจตราส่วนย่อยที่
ประกอบกันเข้าเป็นส่วนเต็ม การวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื่อ การแยกแยะวิเคราะห์คําประพันธ์ การรู้ถึง
การให้เหตุผลที่ผิด ๆ ของผู้เขียน
         6. ระดับการสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นการนําความคิดเห็นที่ได้จากการอ่านมาผสมผสานกัน
และจัดเรียบเรียงใหม่
15
            7. ระดับการประเมินผล (Evaluation) เป็นการวางเกณฑ์และตัดสินสิ่งที่อ่านโดยอาศัยเกณฑ์
ที่ตั้งไว้เป็นบรรทัดฐาน เช่น เรื่องราวที่อ่านอะไรบ้างที่เป็นจริง (Facts) และอะไรบ้างที่เป็นจินตนาการ
(Fantasy) อะไรบ้างที่เป็นความคิดตลอดจนความเชื่อของเรื่องราวที่อ่าน เป็นต้น
            ระดับความเข้าใจในการอ่านมีความสําคัญและจําเป็นมากสําหรับครูผู้สอนอ่านในแง่กําหนดแนว
จุดประสงค์ในการอ่านของนักเรียนให้เหมาะสมกับระดับชั้น อายุ และความสามารถในการอ่าน ซึ่งในแต่
ละระดับมีคําถามหรือสิ่งเร้าที่แตกต่างกันออกไปซึ่งจุดมุ่งหมายของการอ่านคือ อ่านให้เกิดความเข้าใจ
นั่นเอง (Goodman and Niles. 1970 : 28) แต่ความเข้าใจที่เกิดจากการอ่านขึ้นอยู่กับความสําเร็จที่ได้
ความหมาย (Meaning) ความหมายมีทั้งความหมายในระดับคํา (Lexical meaning) ความหมายใน
ระดับประโยค (Syntactic meaning) และความหมายในระดับอนุเฉท (Paragraph organization)
ผู้อ่านจะประสบความสําเร็จในการอ่านเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนอ่านมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับภูมิหลัง
2 ประการ ตามที่ เซฟเฟิร์ด (Shepherd. 1973 : 79) กล่าวไว้ดังนี้คือ
            1. ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาของผู้อ่าน หมายถึง ระดับความรู้ทางภาษาที่ได้เรียนมาของ
ผู้อ่าน และระดับความรู้ในภาษาที่ผู้เขียนใช้
            2. ประสบการณ์ที่มีมาแต่หนหลังของผู้อ่าน สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่ช่วยอธิบายรวบรวมประเมิน
ข้อมูลความคิดเห็นของผู้เรียน ย่อมทําให้อ่านได้อย่างรวดเร็วเข้าใจเรื่องที่อ่านได้อย่างถูกต้องและสามารถ
เข้าถึง ความตั้งใจ อารมณ์ และเจตคติของผู้เขียน ซึ่งถ่ายถอดออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างลึกซึ้ง
            จากเอกสารเกี่ยวกับความเข้าใจในการอ่านที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าความเข้าใจเป็นหัวใจอัน
สําคัญในการอ่านที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝนพัฒนา เพื่อเพิ่มพูนสมรรถภาพการอ่านให้เกิดประโยชน์แก่ตน
เพราะการอ่านนั้นถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็เท่ากับเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ สําหรับระดับความเข้าใจนั้นมี
ความสําคัญต่อผู้สอนที่จะกําหนดจุดมุ่งหมายทางการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล อันจะ
ก่อให้เกิดความเข้าใจดียิ่งขึ้น

         2.4.4 ปัญหาและอุปสรรคในการอ่าน
         ความสามารถในการอ่านไม่ใช่คุณสมบัติที่มีติดต่อมาแต่กําเนิด แต่เป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้ การที่จะ
เป็นนักอ่านที่ดีจะต้องอาศัยวิธีการและเทคนิคหลายหลายประการ ผู้อ่านต้องมีความสามารถในการเลือก
เทคนิคที่เหมาะสมมาใช้ในการอ่านด้วย (อรุณี วิริยะจิตรา. 2525 : 175) การอ่านที่ดี จะต้อง
ประกอบด้วยสมรรถภาพในการอ่านเร็ว ควบคู่ไปกับความเข้าใจในการอ่าน การอ่านเร็วแต่ไม่เข้าใจใน
เนื้อหาที่อ่าน หรืออ่านช้าเข้าใจในเนื้อหาดี แต่อ่านไม่จบ เวลาหมดการอ่านเช่นนี้ถือว่าไม่มีประสิทธิภาพ
ในการอ่าน
         มิลเลอร์ (Miller. 1970 : 11) ได้ชี้ให้เห็นสาเหตุของการอ่านช้าของแต่ละคนว่า องค์
ประกอบใหญ่เกิดจากนิสัยการอ่าน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้อ่านบางคนเป็นคนไม่สนใจที่จะปรับปรุงนิสัยการ
อ่านของตน ขาดความสนใจในการอ่านจึงยากที่จะประสบผลสําเร็จในการอ่านได้ ปัญหาและข้อเสนอแนะ
ต่อไปนี้จะเป็นการช่วยให้ประสิทธิภาพในการอ่านมีมากยิ่งขึ้น
         1. การอ่านออกเสียง (Vocalizing) การอ่านออกเสียงทําให้อ่านช้าถ้าอ่านโดยวิธีนี้จะติดเป็น
นิสัย ให้แก้ไขโดยใช้นิ้วปิดปากขณะที่อ่าน จะเป็นการอ่านในใจใช้วิธีนี้จนกว่าจะแก้นิสัยเดิมได้ และเมื่อติด
นิสัยอ่านในใจอย่างดีแล้ว จะพบว่าทําให้อ่านได้เร็วยิ่งขึ้น
         2. การอ่านทีละคํา (Word-by-word reading) การอ่านหนังสือทีละตัวทําให้อ่านหนังสือช้า
เพราะมัวแต่จะหาความหมายจากคําทีละคํา สามารถแก้ไขได้โดยตั้งใจไว้ว่า การอ่านหนังสือทุกครั้งจะ
อ่านเอาความคิดทั้งหมดโดยเก็บทั้งประโยคโดยใช้สายตามองไปครั้งเดียว แล้วตีความหมายทันที
16
          3. ปัญหาเกี่ยวกับคําศัพท์ (Word blocking) การหยุดและกังวลเกี่ยวกับคําศัพท์ที่ไม่เคยเห็นมา
ก่อนจะทําให้จังหวะในการอ่านและแนวความคิดในการอ่านทั้งประโยคหายไป ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ศัพท์บาง
คําก็สามารถหาความหมายของมันโดยดูจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในประโยคนั้นได้ถ้าใช้ความคิดติดตามไป
ตลอดทั้งเรื่อง
          4. การพะวงอยู่กับตัวเลข (Number attraction) ผู้อ่านบางคนจะหยุดการอ่านทันทีที่พบตัว
เลขที่พบจํานวนเลข และจะใช้เวลาพิจารณาตัวเลขอย่างจริงจังจนดูเหมือนว่าตัวเลขนั้นสําคัญที่สุด การ
แก้ก็คือ ให้ตีความหมายของตัวเลขนั้นออกมาเป็นคําง่าย ๆ เช่น มาก เล็กน้อย นานมาแล้ว ปัจจุบัน
ปีหน้า เร็ว ๆ นี้ เป็นต้น แล้วข้ามมาอ่านเนื้อหาตอนอื่น จะทําให้อ่านเร็วขึ้น
          5. การวิเคราะห์เกินความเป็นจริง (Word analysis) ผู้อ่านจะหยุดและวิเคราะห์คําแปลก ๆ
ว่ามาจากรากคําใด โดยจะพยายามนึกถึงคําอุปสรรคปัจจัย จนลืมเนื้อหาอื่น ๆ ทั้งบทความ ทําให้ต้อง
กลับไปอ่านซ้ําแล้วซ้ําอีก สิ่งเหล่านี้จะทําลายแนวโน้มในการอ่าน และอาจนําไปสู่การสร้างทัศนะคติที่ไม่ดี
ต่อการอ่าน เช่นเดียวกับความหมายของคํา ซึ่งแตกต่างตามเนื้อหาวิชาที่ใช้ให้แก้ไขโดยค้นหาความหมาย
กว้าง ๆ ของคํานั้น พยายามเสาะค้นหาความคิด ความหมายของคําที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ (Seeks the
ideas behind the word)
          6. ใช้วิธีเดียวกันตลอดในการอ่านทุกประเภท (Monotonous plodding) หมายความว่าการอ่าน
อนุเฉททุกประเภทตั้งแต่นิยายประเภทเบา ๆ ไปจนถึงการอ่านตําราใช้วิธีเดียวกันหมด อัตราความเร็วใน
การอ่านก็เปรียบเสมือนการขับรถยนต์ ถ้าเราขับรถอย่าสนุกสนานด้วยความเร็วก็ใช้อัตราความเร็วสูงได้
ถ้าท่านขับในย่านจอแจย่านชุมชนต้องใช้ความระมัดระวัง ก็ต้องขับให้ช้าลง หลักในการขับรถยนต์ก็
เช่นเดียวกับการอ่าน นักอ่านบางคนอ่านหนังสือเบาสมอง นิยายจะอ่านอย่างเร็วมากนับได้หลายพันคําต่อ
นาที แต่อ่านหนังสือวิชาการใช้หัวคิดพิจารณาเนื้อหาไปด้วยททก็ใช้เวลานานขึ้นกว่าเวลาที่ใช้ในการอ่าน
หนังสือนิยาย ท่านต้องรู้จักอ่านโดยพิจารณาประเภท และจุดมุ่งหมายของสิ่งที่พิมพ์นั้นด้วย จึงจะได้
ประโยชน์อย่างแท้จริง
          7. การใช้นิ้วชี้ตามไปด้วย (Finger following) การใช้นิ้วชี้ตามตัวอักษรในขณะอ่าน ลักษณะนี้
จะทําให้อ่านช้าลงแทนที่จะอ่านเร็วขึ้น การอ่านโดยใช้สายตากวาดมองไปตามบรรทัดจะเร็วกว่าการอ่าน
โดยใช้นิ้วชี้ เพราะว่านิ้วไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วเท่าสายตา วิธีแก้
นิสัยนี้ทําได้โดยอย่าให้นิ้วมือว่างเป็นอันขาด โดยการจับหนังสือ 2 มือ หรือประสานมือไว้ที่ตักขณะอ่าน
หนังสือที่โต๊ะ กวาดไปที่อักษรทีละบรรทัด
          8. การโคลงศีรษะไปมาขณะอ่านหนังสือ (Head swinging) การส่ายศีรษะไปมาขณะอ่าน
หนังสือ ทําให้ผู้อ่านเกิดความล้าหรือเหนื่อยมากกว่าการกวาดสายตาไปตามบรรทัด ซึ่งนอกจากจะมีผล
ทําให้การอ่านช้าลงแล้วยังทําให้ประสาทกล้ามเนื้อเครียด รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในการอ่านมากขึ้น ถ้ามีนิสัย
เช่นนี้ต้องใช้มือกุมศีรษะไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวไปมา แล้วใช้สายตากวาดตามตัวอักษรทีละบรรทัด
          9. ไม่สนใจกับหัวข้อสําคัญ (Clue blindness) การสนใจกับหัวข้อที่สําคัญที่ผู้เขียนจงใจเขียนมา
ให้ดู เหมือนกับนักขับรถทางไกลมักสนใจดูระยะทาง สภาพทางจากป้ายข้างถนนที่เขียนบอกไว้เป็นระยะ
ๆ จนกว่าจะถึงจุดหมาย เช่นเดียวกันกับนักอ่านมักสนใจแต่กับคําอ่าน และสนใจเฉพาะหัวเรื่อง ชื้อเรื่อง
ย่อย รูปแบบการพิมพ์ สารบาญ ภาพประกอบ และบทสรุป สิ่งเหล่านี้เป็นหัวข้อสําคัญที่ผู้เขียนจงใจ
จะช่วยผู้อ่านให้เข้าใจในความคิดรวบยอดว่าสิ่งใดมีความสําคัญเช่นไร ผู้อ่านจงพยายามให้ตลอด
พยายามใช้ประโยคนําเรื่องเป็นุตัวนําไปสู่หัวข้อสําคัญ และใช้ตอนสรุปท้ายเรื่องเป็นส่วนประกอบก็จําได้
ความคิดความเข้าใจในรูปแบบของผู้เขียนคนนั้น ๆ
          10. การย้อนกลับไปอ่าน (Rereading) การอ่านย้อนกลับบทความที่ไม่เข้าใจจะเป็นการบ่งชัดว่า
ผู้อ่านไม่มีความมั่นใจที่จะดึงเอาใจความสําคัญของเนื้อความนั้นออกมาด้วยความสามารถของตนเอง เหตุนี้
จะเป็นตัวการที่ทําให้การอ่านช้าลงเพราะมัวแต่จะคิดย้อนหลังกลับไป แทนที่จะอ่านไปข้างหน้า เพื่อหา
บทที่ 2

More Related Content

What's hot

แผน 1 the curious boy and the fish
แผน 1 the curious boy and the fishแผน 1 the curious boy and the fish
แผน 1 the curious boy and the fishTeacher Sophonnawit
 
งานวิจัย ภาษาอังกฤษ การเทียบเสียงอักษร ไทย-อังกฤษ
งานวิจัย ภาษาอังกฤษ การเทียบเสียงอักษร ไทย-อังกฤษงานวิจัย ภาษาอังกฤษ การเทียบเสียงอักษร ไทย-อังกฤษ
งานวิจัย ภาษาอังกฤษ การเทียบเสียงอักษร ไทย-อังกฤษNontaporn Pilawut
 
วิจัยภาษาอังกฤษ
วิจัยภาษาอังกฤษวิจัยภาษาอังกฤษ
วิจัยภาษาอังกฤษGratae
 
แผนที่ 12 summary and posttest
แผนที่ 12 summary and posttestแผนที่ 12 summary and posttest
แผนที่ 12 summary and posttestTeacher Sophonnawit
 
แผนที่ 1 the student analysis
แผนที่ 1 the student analysisแผนที่ 1 the student analysis
แผนที่ 1 the student analysisTeacher Sophonnawit
 
การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (SMEDU)
การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (SMEDU)การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (SMEDU)
การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (SMEDU)Teacher Sophonnawit
 
แผนการสอน (เพิ่มเติม)
แผนการสอน (เพิ่มเติม)แผนการสอน (เพิ่มเติม)
แผนการสอน (เพิ่มเติม)Kruthai Kidsdee
 
บทที่ 2 ภาษาไทย
บทที่  2  ภาษาไทยบทที่  2  ภาษาไทย
บทที่ 2 ภาษาไทยpatcharee0501
 
9789740333128
97897403331289789740333128
9789740333128CUPress
 
รายงานการวิจัย2
รายงานการวิจัย2รายงานการวิจัย2
รายงานการวิจัย2Kruthai Kidsdee
 
แผนการจัดการาเรียนรู้ที่ 1
แผนการจัดการาเรียนรู้ที่  1แผนการจัดการาเรียนรู้ที่  1
แผนการจัดการาเรียนรู้ที่ 1kruruttika
 
บทความวิชาการ
บทความวิชาการบทความวิชาการ
บทความวิชาการphonon701
 
Power point49slides blue
Power point49slides bluePower point49slides blue
Power point49slides blueKruthai Kidsdee
 
แผนเขียน ส่งครั้งที่ 3
แผนเขียน ส่งครั้งที่ 3แผนเขียน ส่งครั้งที่ 3
แผนเขียน ส่งครั้งที่ 3Aiwilovekao
 

What's hot (20)

วิจัย ม
วิจัย มวิจัย ม
วิจัย ม
 
แผน 1 the curious boy and the fish
แผน 1 the curious boy and the fishแผน 1 the curious boy and the fish
แผน 1 the curious boy and the fish
 
งานวิจัย ภาษาอังกฤษ การเทียบเสียงอักษร ไทย-อังกฤษ
งานวิจัย ภาษาอังกฤษ การเทียบเสียงอักษร ไทย-อังกฤษงานวิจัย ภาษาอังกฤษ การเทียบเสียงอักษร ไทย-อังกฤษ
งานวิจัย ภาษาอังกฤษ การเทียบเสียงอักษร ไทย-อังกฤษ
 
015
015015
015
 
วิจัยภาษาอังกฤษ
วิจัยภาษาอังกฤษวิจัยภาษาอังกฤษ
วิจัยภาษาอังกฤษ
 
แผนที่ 12 summary and posttest
แผนที่ 12 summary and posttestแผนที่ 12 summary and posttest
แผนที่ 12 summary and posttest
 
แผนที่ 1 the student analysis
แผนที่ 1 the student analysisแผนที่ 1 the student analysis
แผนที่ 1 the student analysis
 
การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (SMEDU)
การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (SMEDU)การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (SMEDU)
การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (SMEDU)
 
แผนการสอน (เพิ่มเติม)
แผนการสอน (เพิ่มเติม)แผนการสอน (เพิ่มเติม)
แผนการสอน (เพิ่มเติม)
 
บทที่ 2 ภาษาไทย
บทที่  2  ภาษาไทยบทที่  2  ภาษาไทย
บทที่ 2 ภาษาไทย
 
Media
MediaMedia
Media
 
Work you selt3
Work you selt3Work you selt3
Work you selt3
 
Thesis oral presentaton
Thesis oral presentatonThesis oral presentaton
Thesis oral presentaton
 
9789740333128
97897403331289789740333128
9789740333128
 
Unit2
Unit2Unit2
Unit2
 
รายงานการวิจัย2
รายงานการวิจัย2รายงานการวิจัย2
รายงานการวิจัย2
 
แผนการจัดการาเรียนรู้ที่ 1
แผนการจัดการาเรียนรู้ที่  1แผนการจัดการาเรียนรู้ที่  1
แผนการจัดการาเรียนรู้ที่ 1
 
บทความวิชาการ
บทความวิชาการบทความวิชาการ
บทความวิชาการ
 
Power point49slides blue
Power point49slides bluePower point49slides blue
Power point49slides blue
 
แผนเขียน ส่งครั้งที่ 3
แผนเขียน ส่งครั้งที่ 3แผนเขียน ส่งครั้งที่ 3
แผนเขียน ส่งครั้งที่ 3
 

Viewers also liked

ตัวอย่างบทที่ 2 ระบบ e-learning สอนphotoshop
ตัวอย่างบทที่ 2 ระบบ e-learning สอนphotoshopตัวอย่างบทที่ 2 ระบบ e-learning สอนphotoshop
ตัวอย่างบทที่ 2 ระบบ e-learning สอนphotoshoprubtumproject.com
 
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 matเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 matSiriphan Kristiansen
 
ตัวอย่างบทที่ 2 พฤติกรรมป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชาย
ตัวอย่างบทที่ 2 พฤติกรรมป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชายตัวอย่างบทที่ 2 พฤติกรรมป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชาย
ตัวอย่างบทที่ 2 พฤติกรรมป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชายrubtumproject.com
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาkingkarn somchit
 
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทยบทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทยAj.Mallika Phongphaew
 
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่  2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบทที่  2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องmoohhack
 
แบบสอบถาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อ หน้า154
แบบสอบถาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อ หน้า154แบบสอบถาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อ หน้า154
แบบสอบถาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อ หน้า154สำเร็จ นางสีคุณ
 

Viewers also liked (9)

Asean market
Asean marketAsean market
Asean market
 
ตัวอย่างบทที่ 2 ระบบ e-learning สอนphotoshop
ตัวอย่างบทที่ 2 ระบบ e-learning สอนphotoshopตัวอย่างบทที่ 2 ระบบ e-learning สอนphotoshop
ตัวอย่างบทที่ 2 ระบบ e-learning สอนphotoshop
 
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 matเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
 
ตัวอย่างบทที่ 2 พฤติกรรมป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชาย
ตัวอย่างบทที่ 2 พฤติกรรมป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชายตัวอย่างบทที่ 2 พฤติกรรมป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชาย
ตัวอย่างบทที่ 2 พฤติกรรมป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชาย
 
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษา
 
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทยบทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่  2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบทที่  2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
 
แบบสอบถาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อ หน้า154
แบบสอบถาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อ หน้า154แบบสอบถาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อ หน้า154
แบบสอบถาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่อ หน้า154
 

Similar to บทที่ 2

รายงานการศึกษาค้นคว้า ครูชำนาญการ
รายงานการศึกษาค้นคว้า ครูชำนาญการรายงานการศึกษาค้นคว้า ครูชำนาญการ
รายงานการศึกษาค้นคว้า ครูชำนาญการkanidta vatanyoo
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7Dook dik
 
วิจัยชั้นเรียน ดอยเต่า
วิจัยชั้นเรียน ดอยเต่าวิจัยชั้นเรียน ดอยเต่า
วิจัยชั้นเรียน ดอยเต่าNDuangkaew
 
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตร
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรสรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตร
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรkruskru
 
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรก่อนสอบระหว่างภาค
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรก่อนสอบระหว่างภาคสรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรก่อนสอบระหว่างภาค
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรก่อนสอบระหว่างภาคkruskru
 
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรmaturos1984
 
Wanida 134 cai
Wanida 134 cai Wanida 134 cai
Wanida 134 cai kruwanida
 
9789740329176
97897403291769789740329176
9789740329176CUPress
 
กิจกรรมที่ 2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรสู่การออกแบบการจัดการเรีย
กิจกรรมที่ 2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรสู่การออกแบบการจัดการเรียกิจกรรมที่ 2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรสู่การออกแบบการจัดการเรีย
กิจกรรมที่ 2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรสู่การออกแบบการจัดการเรียarisara
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2Jiramet Ponyiam
 
งานครูผู้ช่วย
งานครูผู้ช่วยงานครูผู้ช่วย
งานครูผู้ช่วยMoss Worapong
 
รายงานค่ายวิชาการ
รายงานค่ายวิชาการรายงานค่ายวิชาการ
รายงานค่ายวิชาการsomthawin
 
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 ...
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน   หลักสูตรแกนกลาง 2551               ...การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน   หลักสูตรแกนกลาง 2551               ...
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 ...Weerachat Martluplao
 

Similar to บทที่ 2 (20)

01 ตอนที่ 1 word
01 ตอนที่ 1 word01 ตอนที่ 1 word
01 ตอนที่ 1 word
 
Curriculum to learn
Curriculum to learnCurriculum to learn
Curriculum to learn
 
รายงานการศึกษาค้นคว้า ครูชำนาญการ
รายงานการศึกษาค้นคว้า ครูชำนาญการรายงานการศึกษาค้นคว้า ครูชำนาญการ
รายงานการศึกษาค้นคว้า ครูชำนาญการ
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
วิจัยชั้นเรียน ดอยเต่า
วิจัยชั้นเรียน ดอยเต่าวิจัยชั้นเรียน ดอยเต่า
วิจัยชั้นเรียน ดอยเต่า
 
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตร
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรสรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตร
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตร
 
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรก่อนสอบระหว่างภาค
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรก่อนสอบระหว่างภาคสรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรก่อนสอบระหว่างภาค
สรุปเนื้อหาวิชาการพัฒนาหลักสูตรก่อนสอบระหว่างภาค
 
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
 
Wanida 134 cai
Wanida 134 cai Wanida 134 cai
Wanida 134 cai
 
9789740329176
97897403291769789740329176
9789740329176
 
Botkwam
BotkwamBotkwam
Botkwam
 
Botkwam
BotkwamBotkwam
Botkwam
 
Botkwam
BotkwamBotkwam
Botkwam
 
กิจกรรมที่ 2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรสู่การออกแบบการจัดการเรีย
กิจกรรมที่ 2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรสู่การออกแบบการจัดการเรียกิจกรรมที่ 2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรสู่การออกแบบการจัดการเรีย
กิจกรรมที่ 2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรสู่การออกแบบการจัดการเรีย
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
 
งานครูผู้ช่วย
งานครูผู้ช่วยงานครูผู้ช่วย
งานครูผู้ช่วย
 
รายงานค่ายวิชาการ
รายงานค่ายวิชาการรายงานค่ายวิชาการ
รายงานค่ายวิชาการ
 
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 ...
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน   หลักสูตรแกนกลาง 2551               ...การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน   หลักสูตรแกนกลาง 2551               ...
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 ...
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 

More from Krudoremon

ผลสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/2555
ผลสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/2555ผลสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/2555
ผลสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/2555Krudoremon
 
ประกาศผลสอบกลางภาค ม.3
ประกาศผลสอบกลางภาค ม.3ประกาศผลสอบกลางภาค ม.3
ประกาศผลสอบกลางภาค ม.3Krudoremon
 
สารบัญ
สารบัญสารบัญ
สารบัญKrudoremon
 
ปกรายงาน
ปกรายงานปกรายงาน
ปกรายงานKrudoremon
 
บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรมKrudoremon
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4Krudoremon
 
บทคัดย่อ
บทคัดย่อบทคัดย่อ
บทคัดย่อKrudoremon
 
สารบัญตาราง
สารบัญตารางสารบัญตาราง
สารบัญตารางKrudoremon
 
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3 5-3-8
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3 5-3-8เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3 5-3-8
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3 5-3-8Krudoremon
 
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3/1-3/4 พ.ศ.2554
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3/1-3/4 พ.ศ.2554เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3/1-3/4 พ.ศ.2554
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3/1-3/4 พ.ศ.2554Krudoremon
 
Krudoremon @ sa school
Krudoremon @ sa schoolKrudoremon @ sa school
Krudoremon @ sa schoolKrudoremon
 
ชำนาญการ
ชำนาญการชำนาญการ
ชำนาญการKrudoremon
 

More from Krudoremon (13)

ผลสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/2555
ผลสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/2555ผลสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/2555
ผลสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1/2555
 
ประกาศผลสอบกลางภาค ม.3
ประกาศผลสอบกลางภาค ม.3ประกาศผลสอบกลางภาค ม.3
ประกาศผลสอบกลางภาค ม.3
 
Best practice
Best practiceBest practice
Best practice
 
สารบัญ
สารบัญสารบัญ
สารบัญ
 
ปกรายงาน
ปกรายงานปกรายงาน
ปกรายงาน
 
บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทคัดย่อ
บทคัดย่อบทคัดย่อ
บทคัดย่อ
 
สารบัญตาราง
สารบัญตารางสารบัญตาราง
สารบัญตาราง
 
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3 5-3-8
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3 5-3-8เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3 5-3-8
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3 5-3-8
 
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3/1-3/4 พ.ศ.2554
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3/1-3/4 พ.ศ.2554เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3/1-3/4 พ.ศ.2554
เฉลยข้อสอบกลางภาคที่ 1 ม.3/1-3/4 พ.ศ.2554
 
Krudoremon @ sa school
Krudoremon @ sa schoolKrudoremon @ sa school
Krudoremon @ sa school
 
ชำนาญการ
ชำนาญการชำนาญการ
ชำนาญการ
 

บทที่ 2

  • 1. บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานสําหรับการดําเนินการวิจัย โดย แยกตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 1.1 หลักสูตรภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา 1.1.1 วัตถุประสงค์ของหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษา 1.1.2 คําอธิบายรายวิชาภาษาอังกฤษ 5 2.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ 2.2.1 ความหมายของแบบฝึก 2.2.2 ความสําคัญของแบบฝึก 2.2.3 ประโยชน์ของแบบฝึก 2.2.4 ลักษณะของแบบฝึกที่ดี 2.2.5 ประสิทธิภาพของแบบฝึก 2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียน 2.3.1 ความหมายและความสําคัญของการเขียน 2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน 2.4.1 ความหมายของการอ่าน 2.4.2 ความเข้าใจในการอ่าน 2.4.3 ระดับความเข้าใจในการอ่าน 2.4.4 ปัญหาและอุปสรรคในการอ่าน 2.5 ความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะการเขียนและการอ่าน 2.5.1 สูตรคํานวณความพึงพอใจ 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษ 2.6.1 งานวิจัยในประเทศ 2.1 หลักสูตรภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา 2.1.1 วัตถุประสงค์ของหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษา วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษาซึ่งเป็นการเรียนภาษาอังกฤษ ระดับมาตรฐานพื้นฐานตอนกลาง และระดับมาตรฐานพื้นฐานตอนปลาย มีดังนี้ 1. เพื่อให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้อย่างถูกต้องตามหลักภาษาและเหมาะสมกับวัฒนธรรม 2. เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างเพียงพอที่จะใช้ประโยชน์ในการศึกษา ต่อในระดับสูงหรือการประกอบอาชีพ 3. เพื่อให้มีความสามารถทางภาษาอังกฤษ ทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน เพื่อใช้ในการ สื่อสารและการแสวงหาความรู้ 4. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษ เห็นประโยชน์และคุณค่าของภาษาอังกฤษในการแสวงหา ความรู้และการประกอบอาชีพ 5. เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจเรื่องราวและวัฒนธรรมของชนชาติที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษา แม่ 6. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และ พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่าง สร้างสรรค์
  • 2. 6 2.1.2 คาอธิบายรายวิชาภาษาอังกฤษ 5 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ การดําเนินชี วิต ครอบครัว อาชีพ การดูแล การให้/ขอหรือนําเสนอ ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง และสถานที่ท่องเที่ยว การเขียนจดหมายอิเล็กโทรนิค ข้อความจากสื่อประเภท หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต สารคดี ละคร เพลง กีฬา ภาพยนตร์ เทศกาลที่น่าสนใจ รวมถึง กิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภัยธรรมชาติ ประสบการณ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในอดีต สิ่งของในเรื่องของรูปร่ างหน้าตา/ลักษณะที่ปรากฏ ปัญหา สิ่งแวดล้อม สิ่งมหัศจรรย์ของโลก การคุ้มครองสัตว์ป่า การบริจาคเงิน การเลือกซื้อสินค้าอย่างฉลาด ประเภทของอาหาร การเชิญชวน การ ตอบรับและการตอบปฏิเสธ การวางแผนในการจัดงาน การใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์ จําลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียนสถานศึกษา ชุมชน และสังคม การแสดงความขอบคุณและยกย่องชมเชย และ การแสดงความคิดเห็น การให้คําแนะนํา คําสั่ง การแสดงเงื่อนไขต่างๆ ที่อยู่ในความสนใจของนักเรียนที่ ถูกต้องเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมท้องถิ่น Wiang Sa My Home Land และวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษา เพื่อให้นักเรียนเป็นผู้มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่น ในการทํางานรักความเป็นไทยและมีจิตสํานึกสาธารณะ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงเรียนสาคือโรงเรียน สามุ่งพัฒนาผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ ใฝ่เรียนรู้ ฉลาดใช้เทคโนโลยี มีสุขภาพกายสุขภาพจิตดี มี คุณธรรมจริยธรรม อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สืบสานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชนร่วมพัฒนา ยึด ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ 2.2.1 ความหมายของแบบฝึก แบบฝึกมีความจําเป็นต่อการเรียนการสอนวิชาทักษะ การใช้แบบฝึกพัฒนาการเรียน การสอนจะช่วยให้ครูและนักเรียนพบข้อบกพร่องทางการเรียนการสอนและแก้ไขข้อบกพร่องนั้น มีผู้กล่าวถึง ความหมายของแบบฝึกไว้ ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า “แบบฝึกหมายถึง แบบตัวอย่าง ปัญหา หรือ คําสั่ง ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้นักเรียนฝึกตอบ” ส่วน ชัยยงค์ พรหมวงศ์ กล่าวถึงความหมายของแบบฝึกสรุปได้ว่า แบบฝึกหมายถึง สิ่งที่นักเรียนต้องใช้ควบคู่กับการ เรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่ครอบคลุมกิจกรรมที่นักเรียนพึงกระทําจะแยกกันเป็นหน่วยหรือจะรวม เล่มก็ได้ และ อัจฉรา ชีวพันธ์ และ คณะ กล่าวถึงแบบฝึกทางภาษาสรุปได้ว่า แบบฝึกทางภาษา หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นเสริมสร้างความเข้าใจทางภาษาตามแนวหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และ เสริมเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนที่ช่วยให้นักเรียนนําความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง จากความหมายของแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึก หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้น เพื่อเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนได้กระทํากิจกรรมโดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาความสามารถของนักเรียนให้ดีขึ้น
  • 3. 7 2.2.2 ความสาคัญของแบบฝึก เชาวนี เกิดเพทางค์ (2524 : 23) ได้กล่าวถึงความสําคัญของแบบฝึกไว้ว่า “แบบ ฝึกเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ทําให้นักเรียนเกิดความสนใจ และช่วยให้ครูทราบผลการเรียน ของนักเรียนอย่างใกล้ชิด” ส่วน วีระ ไทยพานิช (2528 : 11) ได้กล่าวถึงความสําคัญของแบบฝึก สรุปได้ว่า แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่เกิดจากการกระทําจริง เป็นประสบการณ์ตรง ที่ ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ทําให้นักเรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียน สามารถเรียนรู้ และจดจําสิ่งที่ เรียนได้ดีและนําไปใช้ในสถานการณ์เช่นเดียวกันได้ และ Petty (อ้างถึงใน เพียงจิต. 2529 : 18 – 20) ได้กล่าวว่า … แบบฝึกเป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมจากหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การ สอนที่ช่วยลดภาระของครูได้มาก เพราะแบบฝึกเป็นสิ่งที่ทําขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ระบบ ช่วยให้นักเรียนฝึก ทักษะการใช้ภาษาดีขึ้น และช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน นอกจากนี้แบบฝึกยังใช้เป็นเครื่องมือวัดผล การเรียนหลังจากบทเรียนในแต่ละครั้ง… แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนชนิดหนึ่งที่ทําขึ้นอย่างเป็นระบบ สามารถพัฒนาการเรียนของ นักเรียนได้ เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน คือ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้เป็น เครื่องมือวัดผลและประเมินผลการเรียน ช่วยให้ครูทราบความก้าวหน้าหรือข้อบกพร่องของนักเรียน และช่วยให้นักเรียนประสบผลสําเร็จในการเรียน 2.2.3 ประโยชน์ของแบบฝึก Green และ Petty (1971: 80) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ ดังนี้ 1. ใช้เสริมหนังสือแบบเรียนในการเรียนทักษะ 2. เป็นสื่อการสอนที่ช่วยแบ่งเบาภาระของครู 3. เป็นเครื่องมือที่ช่วยฝึกฝนและส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้น แต่จะต้องได้รับ การดูแลและเอาใจใส่จากครูด้วย 4. แบบฝึกที่สร้างขึ้นโดยคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลจะเป็นการช่วยให้เด็ก ประสบความสําเร็จ ตามระดับความสามารถของเด็ก 5. จะช่วยเสริมทักษะให้คงอยู่ได้นาน 6. เป็นเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจบบทเรียนแต่ละครั้ง 7. แบบฝึกที่จัดทําเป็นรูปเล่มจะอํานวยความสะดวกแก่นักเรียนในการเก็บรักษาไว้เพื่อ ทบทวนด้วยตนเองได้ 8. ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องในการสอน ตลอดจนทราบปัญหาและ ข้อบกพร่องและจุดอ่อนของนักเรียน ช่วยให้ครูสามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที 9. ช่วยให้เด็กมีโอกาสฝึกทักษะได้อย่างเต็มที่ 10. แบบฝึกทักษะที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยครูประหยัดเวลา และแรงงานใน การสอนการเตรียมการสอน การสร้างแบบฝึกทักษะ และช่วยให้นักเรียนประหยัดเวลาในการลอก โจทย์แบบฝึกหัด จากความสําคัญของแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึกนอกจากจะช่วยให้นักเรียนได้มี โอกาสฝึกฝนทักษะ และทบทวนได้ด้วยตนเองแล้ว ยังช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องในการ สอน ทราบปัญหา และข้อบกพร่อง จุดอ่อนของนักเรียน เพื่อครูจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดเวลา แรงงาน ในการเตรียมการสอนของครู ตลอดจนช่วยประหยัดเวลาในการลอก โจทย์แบบฝึกหัดของนักเรียนด้วย
  • 4. 8 2.2.4 ลักษณะของแบบฝึกที่ดี ภาษาอังกฤษเป็นวิชาทักษะ ต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้สอนควรสร้างแบบฝึก เพื่อทบทวนความรู้หรือฝึกทักษะให้แก่นักเรียน ก่อ สวัสดิพาณิชย์ (2524 : 20) กล่าวถึงลักษณะ ของแบบฝึกที่ดีว่า“ลักษณะของแบบฝึกควรสั้นและมีหลายแบบเพื่อฝึกทักษะเดียว ใช้ได้ตามสภาพความ แตกต่างระหว่างบุคคลและมีการประเมินผลการใช้แบบฝึกของนักเรียนด้วย” ประชุมพร สุวรรณ ตรา (2527 : 61) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดีว่า “มีคําสั่งและคําอธิบายอย่างชัดเจน มีตัวอย่างที่ให้ ความคิดหลายแนวมีภาพประกอบ และเส้นบรรทัดที่เว้นให้เติมมีขนาดพอเหมาะการฝึกฝนควรมีหลาย ๆ แบบ และต้องคํานึงถึงความยากง่าย และระยะเวลาในการฝึกด้วย” ส่วน โรจนา แสงรุ่งรวี (2531 : 22 ) กล่าวถึงแบบฝึกเสริมทักษะที่ดีว่า “แบบฝึกที่ดีต้องมีคําอธิบายชัดเจนเป็นแบบฝึกสั้น ๆ ใช้เวลา ฝึกไม่นานเกินไปแบบฝึกมีหลายรูปแบบ คําศัพท์ที่ใช้ฝึกสามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้” นอกจากนี้ วิไลลักษณ์ บุญประเสริฐ (2531 : 13) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดีว่า … ลักษณะของแบบฝึกที่ดีนั้นต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับนักเรียนตลอดจนคํานึงถึง จิตวิทยาเกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนองพัฒนาการของเด็ก และลําดับขั้นของการเรียน นอกจากนั้น จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับวัย และความสามารถของเด็กซึ่งแบบฝึกจะประกอบด้วยคําชี้แจงและ ตัวอย่างสั้น ๆ ที่จะทําให้เด็กเข้าใจง่าย ใช้เวลาเหมาะสมและมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เรียนไปแล้ว นอกจากนี้แบบฝึกควรมีหลายแบบเพื่อสร้างความสนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ… จากข้อความที่กล่าวมาแล้ว พอสรุปได้ว่า แบบฝึกที่ดีควรเหมาะสมกับนักเรียนในด้าน วัยความสามารถ ความสนใจ มีคําชี้แจงและตัวอย่างสั้น ๆ มีหลายรูปแบบ ใช้เวลาฝึกไม่นาน จนเกินไป เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจชัดเจน สามารถพัฒนาทักษะทางภาษาของนักเรียนให้ดีขึ้น 2.2.5 ประสิทธิภาพของแบบฝึก การสร้างแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพนั้นมีหลักในการสร้างหลายประการ ดังที่ ธูป ทองปราบพาล (25251 : 91) ได้กล่าวถึงหลักในการฝึกฝนทักษะทางภาษาไว้ว่า “การฝึกฝนควรมีหลาย แบบ เช่น ใช้เกม การเติมคํา ใช้เพลง ใช้แผ่นภาพ ใช้การ์ตูนประกอบ ใช้แบบฝึก เป็นต้น ส่วนการสร้างแบบฝึกควรคํานึงถึงเนื้อหา ความยากง่าย และระดับความสนใจของเด็ก” รัชนี ศรี ไพรวรรณ (2527 : 18) กล่าวถึงหลักในการสร้างแบบฝึกว่า… แบบฝึกต้องมีรูปแบบที่จูงใจ และ เป็นไปตามลําดับความยากง่ายเพื่อให้เด็กมีกําลังใจทํา มีจุดมุ่งหมายว่าจะฝึกด้านใดเพื่อให้เด็กเข้าใจ แบบฝึกต้องมีการถูกต้อง ในการให้เด็กทําแบบฝึกทุกครั้งต้องให้เหมาะสมกับเวลา เหมาะกับความ สนใจ ควรทําแบบฝึกหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เด็กเรียนได้กว้างขวาง และส่งเสริมให้เกิดความคิด นอกจากนั้นกระดาษที่ให้เด็กทําแบบฝึกต้องเหนียวและทนทานพอสมควร… วิไลลักษณ์ บุญประเสริฐ (2531 : 13) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบฝึกสรุปได้ว่า ใน การสร้างแบบฝึกที่ดีต้องเรียบเรียงภาษาให้เหมาะสมกับนักเรียน คํานึงถึงหลักจิตวิทยาเกี่ยวกับสิ่งเร้า และการตอบสนอง พัฒนาการของเด็ก และลําดับขั้นของการเรียน โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับวัย และความสามารถของนักเรียน จากหลักการดังกล่าว พอสรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกนั้นจะต้องคํานึงถึงความพร้อม ความสนใจของเด็ก ด้วยการใช้เกม การเติมคํา เพลง แผ่นภาพ การ์ตูนประกอบ กระดาษที่ใช้ ทําแบบฝึกต้องมีความทนทานพอสมควร เนื้อหาไม่ยากเกินไป และกําหนดเวลาในการทําแบบฝึกที่ เหมาะสม แบบฝึกที่สร้างขึ้นควรมีการหาประสิทธิภาพให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน และในการนําแบบฝึก ไปใช้นั้นควรมีการแจ้งผลการเรียนให้นักเรียนทราบผลทันที เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและ ข้อบกพร่องที่ต้องการปรับปรุงแก้ไข
  • 5. 9 2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียน 2.3.1 ความหมายและความสาคัญของการเขียน การเขียน เป็นการแสดงความคิด ความรู้สึก และความรู้ของผู้เขียนออกมาเป็นลาย ลักษณ์อักษร เพื่อให้อ่านเข้าใจความคิดของผู้เขียน สุจริต เพียรชอบ และ สายใจ อินทรัมพรรย์ (2523 : 134) ได้กล่าวถึงความหมายของการเขียนไว้ว่า การเขียนคือการเรียบเรียงความรู้ ความคิด ประสบการณ์ต่าง ๆ ตลอดจน ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร จะเป็นข้อความสั้น ๆ ทํานองคําขวัญร้อย แก้วสั้น ๆ หรือบทกวีนิพนธ์ก็ได้ ข้อเขียนต่าง ๆ เหล่านี้จะมีเอกภาพ มีความเป็นตัวของมันเองทั้งในด้าน ความคิดและการใช้ภาษาเรียบเรียง เมื่อผู้เขียนสามารถเรียบเรียงความรู้ ความคิดของตนเองออกมาเป็นภาษาเขียนได้แล้ว ก็ จะต้องเขียนเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ และสามารถใช้ภาษาเขียนได้อย่างถูกต้องอีกด้วย ดังที่โร เบิร์ต ลาโด (Robert Lado 1977 : 145) ได้กล่าวถึงความหมายของการเขียนไว้ว่า การเขียน คือ การสื่อความหมายด้วยตัวอักษรของภาษาซึ่งเป็นที่เข้าใจกันระหว่าง ผู้เขียนและผู้อ่าน การเขียนเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย การเขียนโดยไม่ทราบ ความหมายไม่นับว่าเป็นการเขียน ถือเป็นเพียงการจารึกตัวอักษรลงบนสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น การเขียน จะต้องเป็นการใช้ตัวอักษรอย่างมีความหมาย ใช้วิธีเรียบเรียงใจความตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่ใช้ ใช้แบบของการเขียนให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเขียนนั้น ๆ ตลอดจนการใช้ถ้อยคําสํานวนโวหารได้อย่าง ถูกต้อง จากความหมายของการเขียนดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่า การเขียนคือการสื่อความหมาย โดยการเรียบเรียงความรู้ ความคิด และความรู้สึก ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้เขียน มี จุดมุ่งหมายเพื่อสื่อสารระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน การเขียน เป็นทักษะที่สําคัญทักษะหนึ่งในการใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาเขียนใช้ในการสื่อ ความหมายที่ได้ความและปรากฏหลักฐานมั่นคง เพราะไม่ลบเลือนเร็วเหมือนคําพูด ภาษาเขียนจึงใช้ใน การติดต่อสื่อสารได้ดีแม้ในระยะทางไกล แต่การที่จะสื่อสารได้ดีนั้นผู้เขียนต้องมีความสามารถในการ เขียน คือใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และสามารถทําให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนเขียนได้ การเขียนจึงต้องมีการฝึกฝนบ่อย ๆ เพื่อให้เกิดความชํานาญและต้องอาศัยการอ่านมาก ๆ เพื่อนําข้อมูล จากการอ่านมาเป็นแนวทางในการเขียน นอกจากนี้ ในการเขียนจะต้องให้ผู้อ่านติดใจ ซึ่งถ้าดูเผิน ๆ แล้วจะเห็นว่าการเขียนไม่น่าจะมีลักษณะพิเศษอย่างไร นึกอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วการ เขียนหนังสือจะต้องรู้ลักษณะของภาษาว่า เขียนอย่างไรจึงจะทําให้ผู้อ่านเข้าใจและติดใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับ คุณภาพของงานเขียนนั้น ศรีวิไล ดอกจันทร์ (2523 : 202-203) กล่าวถึงทักษะในการเขียนว่าต้อง รู้จักแสดงความคิดออกมา เป็นตัวหนังสือให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตามที่ตนประสงค์ให้สามารถเขียนตัวสะกดได้ ถูกต้องตามอักขรวิธี เขียนให้อ่านง่าย ชัดเจน เรียบร้อย รวดเร็วรู้จักเลือกใช้ถ้อยสํานวนให้เหมาะสมกับ เนื้อเรื่อง รู้จักลําดับความคิดและแสดงความคิดออกมาเป็นตัวหนังสือให้ผู้อ่านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง การเขียน เป็นระบบการสื่อสารและบันทึกถ่ายทอดภาษา เพื่อแสดงความรู้ ความคิดและความรู้สึก โดยใช้ตัวหนังสือเป็นสัญลักษณ์ ประสิทธิภาพของการเขียนจึงอยู่ที่ ความสามารถทางความคิด และการใช้ภาษาของผู้เขียนเอง เมื่อพิจารณาฝึกทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนแล้ว จะเห็นว่าทักษะการเขียนเป็น ทักษะหลังสุดที่ผเรียนจะได้รับการฝึกอย่างจริงจัง ู้ ทั้งนี้เนื่องจาก การเขียนเป็นทักษะที่ยากและ ซับซ้อนที่สุดในทักษะทั้งหมด ผู้ที่จะมีความสามารถทางการเขียนได้จึงต้องมีพื้นฐานในทักษะการฟัง การพูด และการอ่านมาก่อน
  • 6. 10 ในบรรดาทักษะทั้งสี่ของการเรียนภาษา การเขียนนับเป็นทักษะที่ยุ่งยาก ซับซ้อนที่สุดในการฟังและการอ่าน นักเรียนจะได้รับฟังหรือเห็นข้อความจากผู้เขียน จึงมีบทบาท เพียงแต่ตีความหรือวิเคราะห์ว่าตนเองกําลังได้ยินหรืออ่านอะไร ในการพูด นักเรียนสามารถแสดง ความคิด ความรู้สึกของตนเอง และมีโอกาสให้คําอธิบายแทรกในบทสนทนาได้ แต่ในการเขียน นั้นต้องมีความสามารถอย่างแท้จริงจึงจะเขียนข้อความได้ชัดเจนจนผู้อ่านเข้าใจได้ การเขียนเป็นวิธีการถ่ายถอดความรู้ ความคิด ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อความเข้าใจระหว่างผู้อ่านและผู้เขียน รวมทั้งชักนําความรู้ ความคิดประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก จากผู้หนึ่งไปสู่อีกผู้หนึ่งหรือคนจํานวนมากได้อีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการที่ผู้เขียนจะมีเจตนารมณ์เช่นใด และมีความสามารถในการเลือกสรรถ้อยคําเพื่อใช้ในการ เขียนได้ดีเพียงใดอีกด้วย นอกจากนี้การเขียนยังถือเป็นทักษะทางภาษาอันดับสี่ ซึ่งหมายถึงว่าบุคคล จะต้องมีความสามารถในทางภาษาด้านการพูด การฟัง และการอ่านมาก่อน จึงนับได้ว่าการเขียน มีบทบาทสําคัญมากในชีวิตประจําวันของคนเราในฐานะของการสื่อสารที่มีความชัดเจนและเป็นหลักฐานที่ แน่นอนกว่าทักษะทางภาษาทั้งสามด้าน โดยเฉพาะการอ่านถ่ายทอดวิทยาการต่าง ๆ ในปัจจุบัน ผู้ ศึกษาก็สามารถเพิ่มพูนความรู้จากงานเขียนต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าวิธีการอื่น ๆ วัลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา (2526 : 11 – 13) กล่าวถึงความสําคัญของการเขียน พอสรุปได้ดังนี้ 1. การเขียนเป็นวัฒนธรรมที่สําคัญของชาติ เพราะภาษาเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ และวิถีชีวิตของคนในชาติ 2. การเขียนทําให้เกิดวรรณคดี ถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความงอกงามทาง สติปัญญา จินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของคนในชาติ 3. การเขียนเป็นสื่อในการสร้างความมั่นคงของประเทศ เช่น การเขียนเพื่อก่อให้เกิด ความสามัคคี การเขียนข่าวสาร เป็นต้น 4. การเขียนมีความสําคัญต่อการศึกษา เช่น การเขียนสื่อสารกับผู้สอนในการ ตอบข้อสอบหรือเขียนรายงาน หรือครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเขียนตํารา เอกสาร งานวิจัย การเขียน ที่มีคุณภาพย่อมสามารถสื่อสารให้บุคคลสองฝ่ายเข้าใจกันได้ดี ภาษาเขียนถือเป็นภาษาที่มีประโยชน์ต่อบุคคลในสังคมอย่างมาก ฉะนั้นจึงควร สนับสนุนให้มีการศึกษา และฝึกการใช้ภาษาเขียนอย่างถูกต้อง เพื่อให้บุคคลให้ภาษาเขียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน 2.4.1 ความหมายของการอ่าน การอ่านนับได้ว่าเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อน จะต้องอาศัยการทํางานของสมองในขั้นสูงสุดกล่าวคือ ต้องอาศัยการนึกย้อนกลับ (Recall) การหาเหตุผล (Reasoning) การประเมินผล (Evaluation) การใช้ จินตนาการ (Imagination) การเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ (Organizing) การนําไปใช้ (Applying) และการ แก้ปัญหา (Problem Solving) (อุทัย ภิรมย์รื่น และเพ็ญศรี รังสิยากูล 2521 : 3) และการอ่านคือ อะไรนั้นมีผู้ให้นิยามไว้มากมายแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่ผู้ให้ความหมายนั้นจะมองในด้านใด เช่น นักจิตวิทยาจะมองการอ่านในแง่จิตวิทยา นักภาษาศาสตร์จะมองการอ่านในแง่ของภาษา หรือนักจิต ภาษาศาสตร์ก็มองการอ่านในแง่ของจิตภาษาศาสตร์ สําหรับนิยามหรือความหมายของการอ่านนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย ดังนี้ ก่อ สวัสดิพาณิชย์ (ก่อ สวัสดิพาณิชย์ 2505 : 3) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า “เป็น การแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นตัวความคิด และนําความคิดนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ตัวอักษร เป็นเครื่องหมายแทนคําพูด และคําพูดก็เป็นเพียงเสียงที่ใช้แทนของจริงอีกทีหนึ่ง” เพราะฉะนั้นหัวใจของ การอ่านอยู่ที่ “การเข้าใจความหมายของคํา” ศาสตราจารย์รัญจวน อินทรกําแหง (รัญจวน อินทรกํา
  • 7. 11 แหง และคนอื่น ๆ 2515 : 17) กล่าวถึง ความหมายของการอ่านไว้ว่า คือ “การแปลสื่อความหมาย จากตัวอักษรหรือภาพ ให้เป็นเรื่องราวที่เป็นแนวความคิด โดยให้มีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและชัดเจน การอ่านจะต้องจับใจความสําคัญของข้อความ และ สามารถผูกเป็นเรื่องราวได้ถูกต้อง ผู้อ่านจะต้องสร้างมโนภาพขึ้นมาพร้อมกับการอ่านไปด้วย” บอนด์ และทิงเคอร์ (Bond and Tinker. 1957 : 19) ได้กล่าวว่าการอ่านคือความเข้าใจ ตัวอักษร ซึ่งเร้าใจให้ผู้อ่านระลึกถึงความหมายที่ได้สร้างขึ้นจากประสบการณ์ และความหมายที่ได้ใหม่ จะเป็นผลของความคิดรวบยอดที่มีอยู่เดิม กล่าวง่าย ๆ ก็คือกระบวนการอ่านประกอบด้วยความหมายของ ผู้เรียน รวมกับการตีความ การประเมินผลและการตอบสนองของผู้อ่านที่มีต่อความหมาย นิวเวล และไซมอน (Newell and Simon. 1970 : 310 -315) กล่าวว่า การอ่านคือ กระบวนการทางจิตภาษาศาสตร์ การอ่านผู้อ่านจะใช้ระบบการรับข่าวสารการรัยรู้สิ่งที่อ่านโดยใช้ตาเป็น อวัยวะสัมผัสจับสิ่งที่เป็นตัวหนังสือส่งไปยังหน่วยการรับรู้สึกเกี่ยวกับการอ่านแล้วส่งไปยังกระบวนการ ความจํา เมื่อสิ่งที่อ่านผ่านกระบวนการจําไปแล้วจะถูกส่งกลับมายังตัวรับหน่วยสิ่งที่อ่านใหม่อีกครั้ง จากนั้นจึงส่งมายังหน่วยปฏิบัติการอ่านออกมาเป็นเสียง หรือความเข้าใจ เดอชองท์ (Dechant. 1969 : 11) กล่าวว่า การอ่านมิใช่เพียงความเข้าใจในสัญลักษณ์หรือการ ออกเสียง หรือการรับความหมายจากตัวหนังสือ แต่ผู้อ่านจะได้รับการกระตุ้นจากตัวหนังสือและต้องปรับ ความหมายของตัวหนังสือเหล่านั้นให้เข้ากับความหมายที่ผู้อ่านมีอยู่แล้ว ฟรีส์ (Fries. 1963 : 131) กล่าวว่าการอ่านคือ การตอบสนองสัญลักษณ์ทางภาษา ซึ่งเป็น ตัวแทนของคําพูด หัวใจของการอ่านอยู่ที่การเข้าใจความหมายในสิ่งที่อ่าน สมิธ (Smith. 1967 : 11) ให้นิยามการอ่านว่า เป็นคําพูดที่ถูกบันทึกเก็บไว้เมื่อเราพูด เราต้อง ช้ําศัพท์เพื่อสื่อความคิดของเรา และในเวลาเดียวกันจะต้องรับรู้ด้วยว่าจะเรียบเรียงคําพูดนั้นอย่างไร จึง จะได้รับผลตามความมุ่งหมาย ซึ่งอาจต้องใช้เสียงหรือสัญลักษณ์แทนก็ได้ ลาโด (Lado. 1964 : 14) กล่าวว่า การอ่านเป็นการรวมทักษะในการถอดความการวิเคราะห์ คํา ความหมายของคํา ความเข้าใจเนื้อเรื่อง การตีความและการให้ข้อคิดเห็น ส่วนนักภาษาศาสตร์อีก คน คือ ฟรีส์ (Fries. 1963 : 131) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่าเป็นการตอบสนองสัญลักษณ์ทาง ภาษา ซึ่งเป็นตัวแทนของภาษาพูด หัวใจของการอ่านนั้นอยู่ที่การเข้าใจความหมายของคํา เกรย์ (Gray. 1984 : 35 – 37) กล่าวว่ากระบวนการอ่านประกอบด้วยทักษะที่สําคัญหลาย อย่างดังนี้ 1. การรู้จักคํา (Perception of the word used) ผู้อ่านจะอ่านหนังสือได้เข้าใจก็ต่อเมื่อมี ความสามารถในการอ่านตัวอักษร และเข้าใจความหมายตรงกับผู้เขียน เกรย์ กล่าวว่า การเข้าใจ ความหมายของคําเป็นทักษะเบื้องต้นของการอ่านทุกประเภท 2. การเข้าใจความคิดของผู้เขียน (Comprehension of the ideas expressed) 3. การมีปฏิกิริยาตอบโต้ความคิดของผู้เขียน (Reaction to these ideas) เป็นการประเมิน ความคิดของผู้เขียนจากเรื่องที่อ่าน ซึ่งผลของการประเมินจะเป็นการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ 4. ทักษะในการผสมผสานความคิดใหม่กับความคิดเก่า จากเรื่องที่อ่าน (Integration of the idea) ซึ่งหมายถึงการรวมความคิดที่ได้รับจากเรื่องที่อ่านกับประเดิมของผู้อ่าน บอนด์ และทิงเคอร์ (Bond and Tinker. 1957 : 235) กล่าวว่า ความสามารถในการอ่าน ขึ้นอยู่กับทักษะพื้นฐานดังต่อไปนี้ 1. การเข้าใจความหมายของคํา (Word meaning) การเข้าใจความหมายของคํา เป็นทักษะพื้นฐานของการอ่าน ถ้าหากนักเรียนเรียนรู้ความหมายของคําไม่เพียงพอ นักเรียนจะไม่เข้าใจ ประโยค (Sentence) อนุเฉท (Paragraph) และไม่สามารถพูดหรืออ่านได้ 2. การเข้าใจความหมายของกลุ่มคํา (Thought Units) นักเรียนจะสามารถเข้าใจ ความหมายของประโยคได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนรู้จักอ่านเป็นกลุ่มคํา การอ่านทีละคําทําให้ไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน
  • 8. 12 3. การเข้าใจประโยค (Sentence Comprehension) เมื่อนักเรียนเข้าใจความหมาย ของกลุ่มคําแล้วยังต้องรู้จักนําเอาคําแต่ละคําหรือแต่ละส่วนมาสัมพันธ์กันจนได้ใจความของประโยค 4. การเข้าใจอนุเฉท (Paragraph Comprehension) หมายถึง ความสามารถนํา การนําประโยคในตอนนั้น ๆ มาสัมพันธ์กัน นักเรียนจะสามารถอ่านได้เข้าใจยิ่งขึ้น 5. การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท (Comprehension of larger units) นักเรียนจะสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องที่ยาวขึ้นได้ก็ต่อนักเรียนสามารถจัดลําดับความคิดของเรื่องที่อ่านได้ และ จะต้องมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทด้วย ทักษะพื้นฐานตามที่กล่าวมาแล้วนี้ จะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ ผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ ก็ต่อเมื่อผู้อ่านเข้าใจความหมายของคํา รู้จักอ่านเป็นกลุ่มคํา ซึ่งเป็น องค์ประกอบสําคัญของการเข้าใจประโยค การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประโยคจะทําให้เข้าใจอนุเฉท และการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทจะทําให้เข้าใจเรื่องที่อ่านทั้งหมด พอจะสรุปได้ว่า การอ่านคือ การเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน และสามารถ แปลความ ตีความและขยายความ สัญลักษณ์หรือตัวอักษรที่ปรากฏออกมา เป็นความคิดเห็นที่นํามาใช้ ให้เกิดประโยชน์ได้ 2.4.2 ความเข้าใจในการอ่าน ชวาล แพรัตกุล (ชวาล แพรัตกุล. 2520 : 134) ได้ให้ความหมายของความเข้าใจ ว่าเป็นความสามารถในการผสมแล้วขยายความรู้ความจําให้ได้ไกลออกไปจากเดิมอย่างสมเหตุสมผล ซึ่ง จะต้องมีคุณสมบัติหลายประการ ดังนี้คือ 1. รู้ความหมายและรายละเอียดย่อย ๆ ของเรื่องนั้นมาก่อนแล้ว 2. รู้ความเกี่ยวข้องความสัมพันธ์ระหว่างขั้นและความรู้ย่อย ๆ เหล่านั้น 3. สามารถอธิบายสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยภาษาของตนเอง 4. เมื่อพบสิ่งอันใด ที่มีสภาพทํานองเดียวกับที่เคยเรียนรู้มาแล้ว ก็สามารถตอบและอธิบายได้ ความเข้าใจสามารถแสดงได้ดังนี้ 1. การแปลความ (Translation) คือ สามารถแปลความหมายของสิ่งต่าง ๆ ได้โดยแปลลักษณะ และนัยของเรื่องราว ซึ่งเป็นความหมายที่ถูกต้องและใช้ได้ดีสําหรับเรื่องราวนั้นโดยเฉพาะ 2. การตีความ (Interpretation) คือ ความสามารถจับความสัมพันธ์ระหว่างชิ้นส่วนย่อย ๆ ของ เรื่องนั้น จนสามารถนํามากล่าวอีกนัยหนึ่งได้ 3. การขยายความ (Extrapolation) คือ ความสามารถขยายความหมายตามนัยของเรื่องนั้นให้ กว้างไกลไปจากสภาพข้อเท็จจริงเดิมได้ ทั้งนี้ สอดคล้องกับของ สมบูรณ์ ชิตพงศ์ (สมบูรณ์ ชิตพงศ์. 2523 : 27) ว่า ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นความสามารถทางด้านสมองในการคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในด้านการแปลความ ตีความ และขยายความในเรื่องราวและเหตุต่าง ๆ ในชีวิต และนอกจากนี้ พัฒน์ น้อยแสงศรี (พัฒน์ น้อยแสงศรี. 2520 : 76) สรุปว่าการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading for comprehension) จะต้องมี ความสามารถในด้านความหมายของคํา (Word meaning) สังกัป (Concept) โครงสร้างประโยค (Sentence structure) โครงสร้างอนุเฉท (Paragraph structure) นอกจากนี้แล้วยังเกี่ยวพันธ์กับ ทัศนคติ (Attitude) และจุดประสงค์ (Purpose) ของผู้อ่านด้วย
  • 9. 13 การวิจัยและศึกษาเรื่องการอ่านในต่างประเทศ เป็นที่สนใจและได้ศึกษากันมาเป็นเวลานานแล้ว เช่น ศึกษาว่าสิ่งใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อการอ่าน หรือต่อความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่อ่าน เกทส์ (ปริญญา เกื้อหนุน. 2515 : 3) อ้างอิงมาจาก (Gates. 1947 : 356) มีความเห็นว่าความเข้าใจใน การอ่านขึ้นอยู่กับความเข้าใจความหมายของคําต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ความเข้าใจในการอ่านพิจารณาได้ จากลักษณะต่อไปนี้ 1. ชนิดของความเข้าใจในการอ่าน (Type of reading comprehension) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด คือ 1.1 อ่านเพื่อเก็บความสําคัญ หรือเก็บใจความโดยทั่วไป 1.2 อ่านเพื่อศึกษารายละเอียดที่สําคัญ 1.3 อ่านเพื่อคาดการณ์ว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร 1.4 อ่านเพื่อรวบรวมเรื่องหรือย่อโดยนํามาเขียนเสียใหม่ 1.5 อ่านเพื่อประเมินคุณค่าของเรื่องที่อ่าน 1.6 อ่านเพื่อสรุปความในรูปต่าง ๆ เช่น เรื่องย่อ และโครงเรื่อง 1.7 การอ่านเพื่อเปรียบเทียบ 1.8 การอ่านเพื่อจดจําเนื้อหาไปใช้ 2. ปริมาณความสามารถในการอ่าน (Ability in reading) ปริมาณความสามารถในการอ่านขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญา และประสบการณ์ของผู้อ่าน ตลอดจนความ ยากง่ายของเรื่องที่อ่าน 3. ระดับความเข้าใจของการอ่าน (Levels of reading comprehension) ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ หลายประการ เช่น สติปัญญา ความสามารถในการอ่าน ความเข้าใจศัพท์ที่อ่าน และวิธีการพิเศษ เฉพาะตัวผู้อ่านแต่ละคน 4. ระดับความเร็วในการอ่าน (Speed of reading comprehension) ความเร็วในการอ่านขึ้นอยู่กับความสามารถในการอ่าน ความเร็วในการรับรู้ตัวอักษร ความยาก ง่ายของเนื้อหา และประเภทของการอ่าน จะเห็นได้ว่า การอ่านเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก การที่บุคคลจะอ่านได้เข้าใจนั้นขึ้นอยู่กับ ความสามารถทางภาษาซึ่งได้แก่ คําศัพท์และโครงสร้างของประโยคและความสามารถในการคิด ซึ่ง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมและระดับสติปัญญาของผู้อ่านเป็นสําคัญ ส่วนบอนด์และทิงเกอร์ (สารภี จีนจู. 2524 : 7 – 8 อ้างอิงมาจาก (Bond and Tinker. 1957 : 235) ได้กล่าวถึงความสามารถในการอ่านที่ต้องอาศัยพื้นฐานความเข้าใจในด้านต่อไปนี้ 1. การเข้าใจความหมายของคํา (Word meaning) การเข้าใจความหมายของคําเป็นทักษะ พื้นฐานของการอ่าน ถ้านักเรียนรู้ความหมายของคําไม่เพียงพอนักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจประโยค (Sentence) อนุเฉท (Paragraph) 2. การเข้าใจความหมายของกลุ่มคํา (Thought units) นักเรียนจะเข้าใจความหมายของ ประโยคได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนรู้จักอ่านเป็นกลุ่มคํา การอ่านทีละคําทําให้ไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน 3. การเข้าใจประโยค (Sentence Comprehension) นอกจากนักเรียนจะต้องเข้าใจความหมาย เป็นรายคําและเป็นกลุ่มคําแล้ว นักเรียนจะต้องมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคํา และความสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มคําในประโยคด้วย นักเรียนที่ไม่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคําและระหว่างกลุ่มคํา ในประโยค จะไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน 4. ความเข้าใจอนุเฉท (Paragraph comprehension) นักเรียนจะเข้าใจอนุเฉทได้ก็ต่อเมื่อ นักเรียนมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประโยคค่อนข้างจะยาก แต่ ถ้านักเรียนขาดความสามารถทางด้านนี้แล้ว นักเรียนจําไม่สามารถเข้าใจเรื่องที่อ่านได้
  • 10. 14 5. ความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท (Comprehension of larger units) นักเรียนจะ สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องที่ยาวขึ้นก็ต่อเมื่อนักเรียนสามารถจักลําดับความคิดของเรื่องที่อ่านได้และจะต้อง มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทได้ ดังนั้นความเข้าใจในการอ่านจึงเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการศึกษาและประสบการณ์ ต่าง ๆ หลาย ๆ ด้านของแต่ละบุคคล (สุนทร เซ็นเชาวนิช. 2526 : 88) ฉะนั้นจึงจําเป็นที่นักเรียน จะต้องได้รับฝึกฝนทักษะในการอ่านเป็นอย่างดี เพราะการที่นักเรียนอ่านแล้วไม่เกิดความเข้าใจ นอกจาก จะทําให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้วยังไม่ได้อะไรจากการอ่าน ดอว์สัน (Dawson. 1953 : 177) ได้เสนอแนวทางในการสอนนักเรียนให้มีความเข้าใจในเนื้อ เรื่องไว้ดังนี้ 1. สอนให้นักเรียนเข้าใจความ กลุ่มคํา ประโยค และข้อความสั้น ๆ 2. ฝึกให้นักเรียนจับความติดที่สําคัญได้ โดยการตั้งคําถามให้นักเรียนคิดถึงเรื่องที่อ่านไปแล้ว ทั้งหมด เช่น เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร สอนว่าอย่างไร 3. ฝึกให้อ่านเพื่อสังเกตรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกันโดยกําหนดให้อ่านและวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่อ่าน 4. ฝึกให้อ่านเพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป หรือเพื่อแก้ปัญหาโดยการเล่าเรื่องทิ้งท้ายให้ นักเรียนทายต่อว่าอะไรจะเกิดขึ้น 5. ฝึกให้อ่านโดยกําหนดว่า ต้องการให้รู้เรื่องใดบ้าง 6. ฝึกให้อ่านเพื่อให้มีจินตนาการเพิ่มขึ้น 7. ฝึกให้อ่านเพื่อทราบการจัดระเบียบหรือแนวการลําดับความของนักเรียน 2.4.3 ระดับความเข้าใจในการอ่าน นพรัตน์ สรวยสุวรรณ (นพรัตน์ สรวยสุวรราถณ. 2521 : 17) ได้อ้างถึงระดับความเข้าใจใน การอ่านตามความคิดของ เบอร์มิสเตอร์ (Burmister) โดยอาศัยพื้นฐานแนวความคิดของ แซนเดอร์ส (Sanders) ซึ่งได้ดัดแปลงมาจาก Bloom’s Taxonomy อีกต่อหนึ่ง เบอร์มิสเตอร์ ได้กล่าวถึงระดับ ต่าง ๆ ของความเข้าใจมีดังนี้ 1. ระดับความจํา (Memory) เป็นระดับของการจําในสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวไว้ ได้แก่ การจํา หรือ การเข้าใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริง วันที่ คําจํากัดความ ใจความสําคัญของเรื่อง และลําดับเหตุการณ์ของ เรื่อง 2. ระดับการแปลความหมาย (Translation) เป็นการนําข้อความหรือสิ่งที่เข้าใจไปแปลเป็นรูป อื่น เช่น การแปลภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง การถอดความ การนําใจความสําคัญไปแปลรูปเป็น แผนภูมิ เป็นต้น 3. ระดับการตีความ (Interpretation) คือการเข้าใจหรือมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่ผู้เขียน มิได้บอกไว้ เช่น หาเหตุเมื่อกําหนดผลมาให้ การคาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป การจับใจความของ เรื่องโดยที่ผู้เขียนมิได้บ่งไว้ 4. ระดับการประยุกต์ใช้ (Application) เป็นการเข้าใจหรือมองเห็นหลักการและสามารถนํา หลักการไปประยุกต์ใช้จนประสบความสําเร็จด้วย 5. ระดับการวิเคราะห์ (Analysis) คือความเข้าใจและรู้ในแง่ของการตรวจตราส่วนย่อยที่ ประกอบกันเข้าเป็นส่วนเต็ม การวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื่อ การแยกแยะวิเคราะห์คําประพันธ์ การรู้ถึง การให้เหตุผลที่ผิด ๆ ของผู้เขียน 6. ระดับการสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นการนําความคิดเห็นที่ได้จากการอ่านมาผสมผสานกัน และจัดเรียบเรียงใหม่
  • 11. 15 7. ระดับการประเมินผล (Evaluation) เป็นการวางเกณฑ์และตัดสินสิ่งที่อ่านโดยอาศัยเกณฑ์ ที่ตั้งไว้เป็นบรรทัดฐาน เช่น เรื่องราวที่อ่านอะไรบ้างที่เป็นจริง (Facts) และอะไรบ้างที่เป็นจินตนาการ (Fantasy) อะไรบ้างที่เป็นความคิดตลอดจนความเชื่อของเรื่องราวที่อ่าน เป็นต้น ระดับความเข้าใจในการอ่านมีความสําคัญและจําเป็นมากสําหรับครูผู้สอนอ่านในแง่กําหนดแนว จุดประสงค์ในการอ่านของนักเรียนให้เหมาะสมกับระดับชั้น อายุ และความสามารถในการอ่าน ซึ่งในแต่ ละระดับมีคําถามหรือสิ่งเร้าที่แตกต่างกันออกไปซึ่งจุดมุ่งหมายของการอ่านคือ อ่านให้เกิดความเข้าใจ นั่นเอง (Goodman and Niles. 1970 : 28) แต่ความเข้าใจที่เกิดจากการอ่านขึ้นอยู่กับความสําเร็จที่ได้ ความหมาย (Meaning) ความหมายมีทั้งความหมายในระดับคํา (Lexical meaning) ความหมายใน ระดับประโยค (Syntactic meaning) และความหมายในระดับอนุเฉท (Paragraph organization) ผู้อ่านจะประสบความสําเร็จในการอ่านเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนอ่านมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับภูมิหลัง 2 ประการ ตามที่ เซฟเฟิร์ด (Shepherd. 1973 : 79) กล่าวไว้ดังนี้คือ 1. ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาของผู้อ่าน หมายถึง ระดับความรู้ทางภาษาที่ได้เรียนมาของ ผู้อ่าน และระดับความรู้ในภาษาที่ผู้เขียนใช้ 2. ประสบการณ์ที่มีมาแต่หนหลังของผู้อ่าน สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่ช่วยอธิบายรวบรวมประเมิน ข้อมูลความคิดเห็นของผู้เรียน ย่อมทําให้อ่านได้อย่างรวดเร็วเข้าใจเรื่องที่อ่านได้อย่างถูกต้องและสามารถ เข้าถึง ความตั้งใจ อารมณ์ และเจตคติของผู้เขียน ซึ่งถ่ายถอดออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างลึกซึ้ง จากเอกสารเกี่ยวกับความเข้าใจในการอ่านที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าความเข้าใจเป็นหัวใจอัน สําคัญในการอ่านที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝนพัฒนา เพื่อเพิ่มพูนสมรรถภาพการอ่านให้เกิดประโยชน์แก่ตน เพราะการอ่านนั้นถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็เท่ากับเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ สําหรับระดับความเข้าใจนั้นมี ความสําคัญต่อผู้สอนที่จะกําหนดจุดมุ่งหมายทางการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล อันจะ ก่อให้เกิดความเข้าใจดียิ่งขึ้น 2.4.4 ปัญหาและอุปสรรคในการอ่าน ความสามารถในการอ่านไม่ใช่คุณสมบัติที่มีติดต่อมาแต่กําเนิด แต่เป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้ การที่จะ เป็นนักอ่านที่ดีจะต้องอาศัยวิธีการและเทคนิคหลายหลายประการ ผู้อ่านต้องมีความสามารถในการเลือก เทคนิคที่เหมาะสมมาใช้ในการอ่านด้วย (อรุณี วิริยะจิตรา. 2525 : 175) การอ่านที่ดี จะต้อง ประกอบด้วยสมรรถภาพในการอ่านเร็ว ควบคู่ไปกับความเข้าใจในการอ่าน การอ่านเร็วแต่ไม่เข้าใจใน เนื้อหาที่อ่าน หรืออ่านช้าเข้าใจในเนื้อหาดี แต่อ่านไม่จบ เวลาหมดการอ่านเช่นนี้ถือว่าไม่มีประสิทธิภาพ ในการอ่าน มิลเลอร์ (Miller. 1970 : 11) ได้ชี้ให้เห็นสาเหตุของการอ่านช้าของแต่ละคนว่า องค์ ประกอบใหญ่เกิดจากนิสัยการอ่าน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้อ่านบางคนเป็นคนไม่สนใจที่จะปรับปรุงนิสัยการ อ่านของตน ขาดความสนใจในการอ่านจึงยากที่จะประสบผลสําเร็จในการอ่านได้ ปัญหาและข้อเสนอแนะ ต่อไปนี้จะเป็นการช่วยให้ประสิทธิภาพในการอ่านมีมากยิ่งขึ้น 1. การอ่านออกเสียง (Vocalizing) การอ่านออกเสียงทําให้อ่านช้าถ้าอ่านโดยวิธีนี้จะติดเป็น นิสัย ให้แก้ไขโดยใช้นิ้วปิดปากขณะที่อ่าน จะเป็นการอ่านในใจใช้วิธีนี้จนกว่าจะแก้นิสัยเดิมได้ และเมื่อติด นิสัยอ่านในใจอย่างดีแล้ว จะพบว่าทําให้อ่านได้เร็วยิ่งขึ้น 2. การอ่านทีละคํา (Word-by-word reading) การอ่านหนังสือทีละตัวทําให้อ่านหนังสือช้า เพราะมัวแต่จะหาความหมายจากคําทีละคํา สามารถแก้ไขได้โดยตั้งใจไว้ว่า การอ่านหนังสือทุกครั้งจะ อ่านเอาความคิดทั้งหมดโดยเก็บทั้งประโยคโดยใช้สายตามองไปครั้งเดียว แล้วตีความหมายทันที
  • 12. 16 3. ปัญหาเกี่ยวกับคําศัพท์ (Word blocking) การหยุดและกังวลเกี่ยวกับคําศัพท์ที่ไม่เคยเห็นมา ก่อนจะทําให้จังหวะในการอ่านและแนวความคิดในการอ่านทั้งประโยคหายไป ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ศัพท์บาง คําก็สามารถหาความหมายของมันโดยดูจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในประโยคนั้นได้ถ้าใช้ความคิดติดตามไป ตลอดทั้งเรื่อง 4. การพะวงอยู่กับตัวเลข (Number attraction) ผู้อ่านบางคนจะหยุดการอ่านทันทีที่พบตัว เลขที่พบจํานวนเลข และจะใช้เวลาพิจารณาตัวเลขอย่างจริงจังจนดูเหมือนว่าตัวเลขนั้นสําคัญที่สุด การ แก้ก็คือ ให้ตีความหมายของตัวเลขนั้นออกมาเป็นคําง่าย ๆ เช่น มาก เล็กน้อย นานมาแล้ว ปัจจุบัน ปีหน้า เร็ว ๆ นี้ เป็นต้น แล้วข้ามมาอ่านเนื้อหาตอนอื่น จะทําให้อ่านเร็วขึ้น 5. การวิเคราะห์เกินความเป็นจริง (Word analysis) ผู้อ่านจะหยุดและวิเคราะห์คําแปลก ๆ ว่ามาจากรากคําใด โดยจะพยายามนึกถึงคําอุปสรรคปัจจัย จนลืมเนื้อหาอื่น ๆ ทั้งบทความ ทําให้ต้อง กลับไปอ่านซ้ําแล้วซ้ําอีก สิ่งเหล่านี้จะทําลายแนวโน้มในการอ่าน และอาจนําไปสู่การสร้างทัศนะคติที่ไม่ดี ต่อการอ่าน เช่นเดียวกับความหมายของคํา ซึ่งแตกต่างตามเนื้อหาวิชาที่ใช้ให้แก้ไขโดยค้นหาความหมาย กว้าง ๆ ของคํานั้น พยายามเสาะค้นหาความคิด ความหมายของคําที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ (Seeks the ideas behind the word) 6. ใช้วิธีเดียวกันตลอดในการอ่านทุกประเภท (Monotonous plodding) หมายความว่าการอ่าน อนุเฉททุกประเภทตั้งแต่นิยายประเภทเบา ๆ ไปจนถึงการอ่านตําราใช้วิธีเดียวกันหมด อัตราความเร็วใน การอ่านก็เปรียบเสมือนการขับรถยนต์ ถ้าเราขับรถอย่าสนุกสนานด้วยความเร็วก็ใช้อัตราความเร็วสูงได้ ถ้าท่านขับในย่านจอแจย่านชุมชนต้องใช้ความระมัดระวัง ก็ต้องขับให้ช้าลง หลักในการขับรถยนต์ก็ เช่นเดียวกับการอ่าน นักอ่านบางคนอ่านหนังสือเบาสมอง นิยายจะอ่านอย่างเร็วมากนับได้หลายพันคําต่อ นาที แต่อ่านหนังสือวิชาการใช้หัวคิดพิจารณาเนื้อหาไปด้วยททก็ใช้เวลานานขึ้นกว่าเวลาที่ใช้ในการอ่าน หนังสือนิยาย ท่านต้องรู้จักอ่านโดยพิจารณาประเภท และจุดมุ่งหมายของสิ่งที่พิมพ์นั้นด้วย จึงจะได้ ประโยชน์อย่างแท้จริง 7. การใช้นิ้วชี้ตามไปด้วย (Finger following) การใช้นิ้วชี้ตามตัวอักษรในขณะอ่าน ลักษณะนี้ จะทําให้อ่านช้าลงแทนที่จะอ่านเร็วขึ้น การอ่านโดยใช้สายตากวาดมองไปตามบรรทัดจะเร็วกว่าการอ่าน โดยใช้นิ้วชี้ เพราะว่านิ้วไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วเท่าสายตา วิธีแก้ นิสัยนี้ทําได้โดยอย่าให้นิ้วมือว่างเป็นอันขาด โดยการจับหนังสือ 2 มือ หรือประสานมือไว้ที่ตักขณะอ่าน หนังสือที่โต๊ะ กวาดไปที่อักษรทีละบรรทัด 8. การโคลงศีรษะไปมาขณะอ่านหนังสือ (Head swinging) การส่ายศีรษะไปมาขณะอ่าน หนังสือ ทําให้ผู้อ่านเกิดความล้าหรือเหนื่อยมากกว่าการกวาดสายตาไปตามบรรทัด ซึ่งนอกจากจะมีผล ทําให้การอ่านช้าลงแล้วยังทําให้ประสาทกล้ามเนื้อเครียด รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในการอ่านมากขึ้น ถ้ามีนิสัย เช่นนี้ต้องใช้มือกุมศีรษะไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวไปมา แล้วใช้สายตากวาดตามตัวอักษรทีละบรรทัด 9. ไม่สนใจกับหัวข้อสําคัญ (Clue blindness) การสนใจกับหัวข้อที่สําคัญที่ผู้เขียนจงใจเขียนมา ให้ดู เหมือนกับนักขับรถทางไกลมักสนใจดูระยะทาง สภาพทางจากป้ายข้างถนนที่เขียนบอกไว้เป็นระยะ ๆ จนกว่าจะถึงจุดหมาย เช่นเดียวกันกับนักอ่านมักสนใจแต่กับคําอ่าน และสนใจเฉพาะหัวเรื่อง ชื้อเรื่อง ย่อย รูปแบบการพิมพ์ สารบาญ ภาพประกอบ และบทสรุป สิ่งเหล่านี้เป็นหัวข้อสําคัญที่ผู้เขียนจงใจ จะช่วยผู้อ่านให้เข้าใจในความคิดรวบยอดว่าสิ่งใดมีความสําคัญเช่นไร ผู้อ่านจงพยายามให้ตลอด พยายามใช้ประโยคนําเรื่องเป็นุตัวนําไปสู่หัวข้อสําคัญ และใช้ตอนสรุปท้ายเรื่องเป็นส่วนประกอบก็จําได้ ความคิดความเข้าใจในรูปแบบของผู้เขียนคนนั้น ๆ 10. การย้อนกลับไปอ่าน (Rereading) การอ่านย้อนกลับบทความที่ไม่เข้าใจจะเป็นการบ่งชัดว่า ผู้อ่านไม่มีความมั่นใจที่จะดึงเอาใจความสําคัญของเนื้อความนั้นออกมาด้วยความสามารถของตนเอง เหตุนี้ จะเป็นตัวการที่ทําให้การอ่านช้าลงเพราะมัวแต่จะคิดย้อนหลังกลับไป แทนที่จะอ่านไปข้างหน้า เพื่อหา