SlideShare a Scribd company logo
1 of 17
Download to read offline
ทรัพยากรป่ าไม้
จัดทาโดย ชั้น ม.6/9

นายธนัชสิ ชณ์ วงศ์อริ นทร์ เลขที่ 9
นายฉัตรเฉลิม ครองจริ ง เลขที่ 21
นายมงคลกานต์ ต้นดี เลขที่ 24
ประเภทของป่ าไม้ ในประเทศไทย

                                                ่ ั
           ประเภทของป่ าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยูกบการกระจายของ
ฝน ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริ มาณน้ าฝนทาให้ป่าแต่ละแห่ งมีความ
ชุ่มชื้นต่างกัน สามารถจาแนกได้เป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ป่ าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
2. ป่ าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)
1. ป่ าประเภททีไม่ ผลัดใบ (Evergreen)
               ่
ป่ าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ข้ ึนอยูเ่ ป็ นประเภท
     ที่ไม่ผลัดใบ ได้แก่
1.1 ป่ าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest)
     แยกออกเป็ นป่ าดงดิบชนิดต่าง ๆ ดังนี้
        1.1.1) ป่ าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest)
      เป็ นป่ ารกทึเขียวชอุ่มตลอดปี มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความ
     สูง 600 เมตร จากระดับน้ าทะเล ไม้ที่สาคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ เช่น ยาง
     นา ยางเสี ยน ส่ วนไม้ช้ นรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอน้ า กอเดือย
                              ั
1.1.2) ป่ าดิบแล้ ง (Dry Evergreen Forest)
          เป็ นป่ าที่อยูในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย อยูสูงจากระดับน้ าทะเล
                         ่                                         ่
    ประมาณ 300-600 เมตร ไม้ที่สาคัญได้แก่ มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคียน
    แดง กระเบากลัก และตาเสื อ
1.1.3 ป่ าดิบเขา (Hill Evergreen Forest)
     ป่ าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรื อบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตร ขึ้น
ไปจากระดับน้ าทะเล ไม้ส่วนมากเป็ นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้
ขุนและสนสามพันปี นอกจากนี้ยงมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่ พวกไม้ช้ นที่สอง
                                      ั                               ั
รองลงมา ได้แก่ เป้ ง สะเดาช้าง และขมิ้นต้น
1.2. ป่ าสนเขา (Pine Forest)
                                    ่
             ป่ าสนเขามักปรากฎอยูตามภูเขาสู งส่ วนใหญ่เป็ นพื้นที่ซ่ ึ งมีความสู ง
ประมาณ 200-1800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ าทะเลบางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-
300 เมตร จากระดับน้ าทะเลในภาคตะวันออกเฉี ยงใต้ ป่ าสนเขามีลกษณะเป็ นป่ าั
โปร่ ง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สาคัญของป่ าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่ วนไม้ชนิด
               ่ ้
อื่นที่ข้ ึนอยูดวยได้แก่พนธุ์ไม้ป่าดิบเขา เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรื อพันธุ์ไม้ป่าแดงบาง
                         ั
ชนิด คือ เต็ง รัง เหี ยง พลวง เป็ นต้น
1.3. ป่ าชายเลน (Mangrove Forest)
            บางทีเรี ยกว่า "ป่ าเลนน้ าเค็ม”หรื อป่ าเลน มีตนไม้ข้ ึนหนาแน่นแต่ละชนิดมี
                                                             ้
                                                     ่
รากค้ ายันและรากหายใจ ป่ าชนิดนี้ปรากฎอยูตามที่ดินเลนริ มทะเลหรื อบริ เวณปากน้ า
                                                         ่
แม่น้ าใหญ่ ๆ ซึ่ งมีน้ าเค็มท่วมถึง พันธุ์ไม้ที่ข้ ึนอยูตามป่ าชายเลน ส่ วนมากเป็ นพันธุ์ไม้
ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สาหรับการเผาถ่านและทาฟื นไม้ชนิ ดที่สาคัญ คือ
โกงกาง ประสัก ถัวขาว ถัวขา โปรง ตะบูน แสมทะเล ลาพูนและ
                       ่         ่
ลาแพน ฯลฯ ส่ วนไม้พ้นล่างมักเป็ นพวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และ
                            ื
เป้ ง เป็ นต้น
1.4. ป่ าพรุ หรือป่ าบึงนาจืด (Swamp Forest)
                          ้
            ป่ าชนิดนี้มกปรากฎในบริ เวณที่มีน้ า
                        ั
จืดท่วมมาก ๆ ดินระบายน้ าไม่ดีดินเป็ น
พีท ซึ่ งเป็ นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็ น
เวลานาน
ชนิดพันธุ์ไม้ที่สาคัญของป่ า
พรุ ได้แก่ อินทนิล น้ าหว้า จิก โสก
น้ า กระทุ่มน้ าภันเกรา โงงงันกะทังหัน ไม้
                                   ่
พื้นล่างประกอบด้วย หวาย ตะค้าทอง หมาก
แดง และหมากชนิดอื่น ๆ
5. ป่ าชายหาด (Beach Forest)
                                     ่
      เป็ นป่ าโปร่ งไม่ผลัดใบขึ้นอยูตาม
บริ เวณหาดชายทะเล น้ าไม่ท่วมตามฝั่ง
ดินและชายเขาริ มทะเล ต้นไม้สาคัญที่
       ่
ขึ้นอยูตามหาดชายทะเล ต้องเป็ นพืชทน
                                  ่
เค็ม และมักมีลกษณะไม้เป็ นพุมลักษณะ
                 ั
ต้นคดงอ ใบหนาแข็ง ได้แก่ สน
ทะเล หูกวาง โพธิ์ ทะเล กระทิง ตีนเป็ ด
ทะเล หยีน้ า ตามฝั่งดินและชายเขา มัก
พบไม้เกตลาบิด มะคา
แต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนาม
ชนิดต่าง ๆ เช่น ซิ งซี่ หนาม
หัน กาจาย มะดันขอ เป็ นต้น
2.ป่ าประเภทที่ผลัดใบ (Declduous)
                              ่
             ต้นไม้ที่ข้ ึนอยูในป่ าประเภทนี้เป็ นจาพวกผลัดใบแทบ
 ทั้งสิ้ น ในฤดูฝนป่ าประเภทนี้จะมองดูเขียวชอุ่มพอถึงฤดูแล้ง
 ต้นไม้ ส่ วนใหญ่จะพากันผลัดใบทาให้ป่ามองดูโปร่ งขึ้น และมักจะ
 เกิดไฟป่ าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็ก ๆ ป่ าชนิดสาคัญซึ่ งอยูใน ่
 ประเภทนี้ ได้แก่
2.1 ป่ าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest)
           ป่ าผลัดใบผสม หรื อป่ าเบญจพรรณมีลกษณะเป็ นป่ าโปร่ งและยังมีไม้ไผ่ชนิ ด
                                               ั
                ่
ต่าง ๆ ขึ้นอยูกระจัดกระจายทัวไปพื้นที่ดินมักเป็ นดินร่ วนปนทราย ป่ าเบญจ
                              ่
พรรณ พันธุ์ไม้ชนิดสาคัญได้แก่ สัก ประดู่
แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ส้าน ยม หอม ยมหิ น มะเกลือ สมพง เก็ด
ดา เก็ดแดง ฯลฯ นอกจากนี้มีไม้ไผ่ที่สาคัญ เช่น ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่
ไร เป็ นต้น
2.2 ป่ าเต็งรัง (Declduous Dipterocarp Forest)
            หรื อที่เรี ยกกันว่าป่ าแดง ป่ าแพะ ป่ าโคก ลักษณะทัวไปเป็ นป่ าโปร่ ง ตาม
                                                                ่
พื้นป่ ามักจะมีโจด ต้นแปรง และหญ้าเพ็ก พื้นที่แห้งแล้งดินร่ วนปนทราย หรื อ
กรวด ลูกรัง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สาคัญในป่ าแดง หรื อป่ าเต็ง
รัง ได้แก่ เต็ง รัง เหี ยง พลวง กราด พะยอม ติ้ว แต้ว มะค่าแต ประดู่ แดง สมอ
ไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟ้ า ฯลฯ ส่ วนไม้พ้นล่างที่พบมาก ได้แก่ มะพร้าว
                                                        ื
เต่า ปุ่ มแป้ ง หญ้าเพ็ก โจด ปรงและหญ้าชนิดอื่น ๆ
2.3 ป่ าหญ้ า (Savannas Forest)
      ป่ าที่ถูกแผ้วถางทาลายบริ เวณพื้นดินที่ขาดความสมบูรณ์และถูกทอดทิ้ง หญ้าชนิดต่าง
ๆ จึงเกิดขึ้นทจึงขยายมากขึ้นทุกปี พืชที่พบมากที่สุดในป่ าหญ้าก็คือ หญ้าคา หญ้าขน
                                                                   ่ ้
ตาช้าง หญ้าโขมง หญ้าเพ็กและปุ่ มแป้ ง บริ เวณที่พอจะมีความชื้นอยูบาง และการระบายน้าได้ดี
ก็มกจะพบพงและแขมขึ้นอยู่ และอาจพบต้นไม้ทนไฟขึ้นอยู่ เช่น ตับเต่า รกฟ้ าตานเหลือ ติ้ว
   ั
และแต้วดแทนและพอถึงหน้าแล้งก็เกิดไฟไหม้ทาให้ตนไม้บริ เวณข้างเคียงล้มตาย พื้นที่ป่าหญ้า
                                                     ้
ประโยชน์ ของทรัพยากรป่ าไม้

  ประโยชน์ทางตรง (Direct Benefits)
ได้แก่ ปัจจัย 4 ประการ
1. จากการนาไม้มาสร้างอาคารบ้านเรื อนและผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ไม้ขีดไฟ ฟื น เป็ นต้น
2. ใช้เป็ นอาหารจากส่ วนต่าง ๆ ของพืชและผล
3. ใช้เส้นใย ที่ได้จากเปลือกไม้และเถาวัลย์มาถักทอ เป็ นเครื่ องนุ่งห่ม เชือกและอื่น ๆ
4. ใช้ทายารักษาโรคต่าง ๆ
ประโยชน์ ทางอ้อม (Indirect Benefits)

1. ป่ าไม้เป็ นเป็ นแหล่งกาเนิดต้นน้ าลาธาร
2. ป่ าไม้ทาให้เกิดความชุ่มชื้นและควบคุมสภาวะอากาศ
3. ป่ าไม้เป็ นแหล่งพักผ่อนและศึกษาความรู ้ บริ เวณป่ าไม้จะมีภมิประเทศที่สวยงาม
                                                               ู
จากธรรมชาติรวมทั้งสัตว์ป่าจึงเป็ นแหล่งพักผ่อนได้ศึกษาหาความรู ้
4. ป่ าไม้ช่วยบรรเทาความรุ นแรงของลมพายุและป้ องกันอุทกภัย โดยช่วยลดความเร็ ว
ของลมพายุที่พดผ่านได้ต้ งแต่ 11 - 44 % ตามลักษณะของป่ าไม้แต่ละชนิ ด
                  ั        ั
5. ป่ าไม้ช่วยป้ องกันการกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน จากน้ าฝนและลมพายุโดยลดแรง
ปะทะลงการหลุดเลือนของดินจึงเกิดขึ้นน้อย
การอนุรักษ์ ป่าไม้
     1. นโยบายด้านการกาหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่ าไม้
     2. นโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่ าไม้เกี่ยวกับงานป้ องกันรักษาป่ าการอนุรักษ์
สิ่ งแวดล้อมและสันทนาการ
     3. นโยบายด้านการจัดการที่ดินทากินให้แก่ราษฎรผูยากไร้ในท้องถิ่น
                                                      ้
     4. นโยบายด้านการพัฒนาป่ าไม้ เช่น การทาไม้และการเก็บหาของป่ า การปลูก
และการบารุ งป่ าไม้ การค้นคว้าวิจย และด้านการอุตสาหกรรม
                                 ั
     5. นโยบายการบริ หารทัวไปจากนโยบายดังกล่าวข้างต้นเป็ นแนวทางในการพัฒนา
                          ่
และการจัดการทรัพยากรป่ าไม้ของชาติให้ได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางด้านการอนุรักษ์
และด้านเศรษฐกิจอย่างผสมผสาน

More Related Content

What's hot

ชอล์กกำจัดมดจากเปลือกไข่
ชอล์กกำจัดมดจากเปลือกไข่ชอล์กกำจัดมดจากเปลือกไข่
ชอล์กกำจัดมดจากเปลือกไข่pink2543
 
7.2 การประสานประโยชน์
7.2 การประสานประโยชน์7.2 การประสานประโยชน์
7.2 การประสานประโยชน์Jitjaree Lertwilaiwittaya
 
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชการแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชLi Yu Ling
 
แรงดึงดูดระหว่างมวล2560
แรงดึงดูดระหว่างมวล2560แรงดึงดูดระหว่างมวล2560
แรงดึงดูดระหว่างมวล2560krulef1805
 
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21Pannaray Kaewmarueang
 
คัมภีร์ฉันทศาสตร์
คัมภีร์ฉันทศาสตร์คัมภีร์ฉันทศาสตร์
คัมภีร์ฉันทศาสตร์tabparid
 
คู่มือการใช้เชือก
คู่มือการใช้เชือกคู่มือการใช้เชือก
คู่มือการใช้เชือกNoppadon Khongchana
 
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทานไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่าง  ความต่างศักย์ไฟฟ้า  กระแสไฟฟ้า  และ ความต้านทานไฟฟ้าความสัมพันธ์ระหว่าง  ความต่างศักย์ไฟฟ้า  กระแสไฟฟ้า  และ ความต้านทานไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทานไฟฟ้าเรียนฟิสิกส์กับครูเอ็ม Miphukham
 
บทที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
บทที่ 1 ธาตุและสารประกอบบทที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
บทที่ 1 ธาตุและสารประกอบJariya Jaiyot
 
โครงงานวิทยาศาสตร์แชมพูสระผมมะกรูด
โครงงานวิทยาศาสตร์แชมพูสระผมมะกรูดโครงงานวิทยาศาสตร์แชมพูสระผมมะกรูด
โครงงานวิทยาศาสตร์แชมพูสระผมมะกรูดBio Beau
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพดโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพดพัน พัน
 
สารรอบตัว
สารรอบตัวสารรอบตัว
สารรอบตัวNetiie Thanaporn
 
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศหน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศmaleela
 
โครงงานไอเอส1
โครงงานไอเอส1โครงงานไอเอส1
โครงงานไอเอส1Ocean'Funny Haha
 
ใบงานที่ 3.2 เรื่อง เค้าโครงของโครงงาน
ใบงานที่ 3.2 เรื่อง เค้าโครงของโครงงานใบงานที่ 3.2 เรื่อง เค้าโครงของโครงงาน
ใบงานที่ 3.2 เรื่อง เค้าโครงของโครงงานThanawut Rattanadon
 
บทที่ 3 เครื่องสำอางในชีวิตประจำวัน
บทที่ 3  เครื่องสำอางในชีวิตประจำวันบทที่ 3  เครื่องสำอางในชีวิตประจำวัน
บทที่ 3 เครื่องสำอางในชีวิตประจำวันJariya Jaiyot
 
ผักตบชวาไล่แมลง
ผักตบชวาไล่แมลงผักตบชวาไล่แมลง
ผักตบชวาไล่แมลงพัน พัน
 
ภัยพิบัติ
ภัยพิบัติภัยพิบัติ
ภัยพิบัติnaleesaetor
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ ชุดโซฟาจากกระป๋องนม
โครงงานวิทยาศาสตร์  ชุดโซฟาจากกระป๋องนมโครงงานวิทยาศาสตร์  ชุดโซฟาจากกระป๋องนม
โครงงานวิทยาศาสตร์ ชุดโซฟาจากกระป๋องนมChok Ke
 

What's hot (20)

ชอล์กกำจัดมดจากเปลือกไข่
ชอล์กกำจัดมดจากเปลือกไข่ชอล์กกำจัดมดจากเปลือกไข่
ชอล์กกำจัดมดจากเปลือกไข่
 
7.2 การประสานประโยชน์
7.2 การประสานประโยชน์7.2 การประสานประโยชน์
7.2 การประสานประโยชน์
 
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชการแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
 
แรงดึงดูดระหว่างมวล2560
แรงดึงดูดระหว่างมวล2560แรงดึงดูดระหว่างมวล2560
แรงดึงดูดระหว่างมวล2560
 
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
เหตุการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษที่21
 
คัมภีร์ฉันทศาสตร์
คัมภีร์ฉันทศาสตร์คัมภีร์ฉันทศาสตร์
คัมภีร์ฉันทศาสตร์
 
คู่มือการใช้เชือก
คู่มือการใช้เชือกคู่มือการใช้เชือก
คู่มือการใช้เชือก
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ขยะหอมไล่แมลง
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ขยะหอมไล่แมลงโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ขยะหอมไล่แมลง
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ขยะหอมไล่แมลง
 
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทานไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่าง  ความต่างศักย์ไฟฟ้า  กระแสไฟฟ้า  และ ความต้านทานไฟฟ้าความสัมพันธ์ระหว่าง  ความต่างศักย์ไฟฟ้า  กระแสไฟฟ้า  และ ความต้านทานไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทานไฟฟ้า
 
บทที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
บทที่ 1 ธาตุและสารประกอบบทที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
บทที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
 
โครงงานวิทยาศาสตร์แชมพูสระผมมะกรูด
โครงงานวิทยาศาสตร์แชมพูสระผมมะกรูดโครงงานวิทยาศาสตร์แชมพูสระผมมะกรูด
โครงงานวิทยาศาสตร์แชมพูสระผมมะกรูด
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพดโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
 
สารรอบตัว
สารรอบตัวสารรอบตัว
สารรอบตัว
 
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศหน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
 
โครงงานไอเอส1
โครงงานไอเอส1โครงงานไอเอส1
โครงงานไอเอส1
 
ใบงานที่ 3.2 เรื่อง เค้าโครงของโครงงาน
ใบงานที่ 3.2 เรื่อง เค้าโครงของโครงงานใบงานที่ 3.2 เรื่อง เค้าโครงของโครงงาน
ใบงานที่ 3.2 เรื่อง เค้าโครงของโครงงาน
 
บทที่ 3 เครื่องสำอางในชีวิตประจำวัน
บทที่ 3  เครื่องสำอางในชีวิตประจำวันบทที่ 3  เครื่องสำอางในชีวิตประจำวัน
บทที่ 3 เครื่องสำอางในชีวิตประจำวัน
 
ผักตบชวาไล่แมลง
ผักตบชวาไล่แมลงผักตบชวาไล่แมลง
ผักตบชวาไล่แมลง
 
ภัยพิบัติ
ภัยพิบัติภัยพิบัติ
ภัยพิบัติ
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ ชุดโซฟาจากกระป๋องนม
โครงงานวิทยาศาสตร์  ชุดโซฟาจากกระป๋องนมโครงงานวิทยาศาสตร์  ชุดโซฟาจากกระป๋องนม
โครงงานวิทยาศาสตร์ ชุดโซฟาจากกระป๋องนม
 

Similar to สื่อการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ทรัพยากรป่าไม้

การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้siwimon12090noonuch
 
ชีวภาค
ชีวภาคชีวภาค
ชีวภาคPa'rig Prig
 
โครงการปลูกป่าชายเลน1
โครงการปลูกป่าชายเลน1โครงการปลูกป่าชายเลน1
โครงการปลูกป่าชายเลน1nananattie
 
ไม้ดอกไม้ประดับ
ไม้ดอกไม้ประดับไม้ดอกไม้ประดับ
ไม้ดอกไม้ประดับWanlop Chimpalee
 
โครงการเศรษฐกิจ
โครงการเศรษฐกิจโครงการเศรษฐกิจ
โครงการเศรษฐกิจsisirada
 
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีPowerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีอาภัสรา ยิ่งคำแหง
 
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์Duangsuwun Lasadang
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1Kanjanarut II
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1Kanjanarut II
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1Kanjanarut II
 
งานSh
งานShงานSh
งานShdekbao
 
ทวีปเอเชีย
ทวีปเอเชียทวีปเอเชีย
ทวีปเอเชียjantara
 
กุหลาบ
กุหลาบกุหลาบ
กุหลาบnangna
 

Similar to สื่อการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ทรัพยากรป่าไม้ (20)

ปกใน
ปกในปกใน
ปกใน
 
Forest
ForestForest
Forest
 
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
 
ป่าไม้
ป่าไม้ป่าไม้
ป่าไม้
 
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ
 
ชีวภาค
ชีวภาคชีวภาค
ชีวภาค
 
ว30103
ว30103ว30103
ว30103
 
ม.6 นิเวศ
ม.6 นิเวศม.6 นิเวศ
ม.6 นิเวศ
 
โครงการปลูกป่าชายเลน1
โครงการปลูกป่าชายเลน1โครงการปลูกป่าชายเลน1
โครงการปลูกป่าชายเลน1
 
ไม้ดอกไม้ประดับ
ไม้ดอกไม้ประดับไม้ดอกไม้ประดับ
ไม้ดอกไม้ประดับ
 
โครงการเศรษฐกิจ
โครงการเศรษฐกิจโครงการเศรษฐกิจ
โครงการเศรษฐกิจ
 
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดีPowerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
Powerpoint โครงงานสำรวจป่าไม้ในตำบลคำนาดี
 
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
งานSh
งานShงานSh
งานSh
 
ทวีปเอเชีย
ทวีปเอเชียทวีปเอเชีย
ทวีปเอเชีย
 
3.2 ornamental plant
3.2  ornamental plant3.2  ornamental plant
3.2 ornamental plant
 
กุหลาบ
กุหลาบกุหลาบ
กุหลาบ
 

สื่อการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ทรัพยากรป่าไม้

  • 2. จัดทาโดย ชั้น ม.6/9 นายธนัชสิ ชณ์ วงศ์อริ นทร์ เลขที่ 9 นายฉัตรเฉลิม ครองจริ ง เลขที่ 21 นายมงคลกานต์ ต้นดี เลขที่ 24
  • 3. ประเภทของป่ าไม้ ในประเทศไทย ่ ั ประเภทของป่ าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยูกบการกระจายของ ฝน ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริ มาณน้ าฝนทาให้ป่าแต่ละแห่ งมีความ ชุ่มชื้นต่างกัน สามารถจาแนกได้เป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. ป่ าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen) 2. ป่ าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)
  • 4. 1. ป่ าประเภททีไม่ ผลัดใบ (Evergreen) ่ ป่ าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ข้ ึนอยูเ่ ป็ นประเภท ที่ไม่ผลัดใบ ได้แก่ 1.1 ป่ าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) แยกออกเป็ นป่ าดงดิบชนิดต่าง ๆ ดังนี้ 1.1.1) ป่ าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest) เป็ นป่ ารกทึเขียวชอุ่มตลอดปี มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความ สูง 600 เมตร จากระดับน้ าทะเล ไม้ที่สาคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ เช่น ยาง นา ยางเสี ยน ส่ วนไม้ช้ นรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอน้ า กอเดือย ั
  • 5. 1.1.2) ป่ าดิบแล้ ง (Dry Evergreen Forest) เป็ นป่ าที่อยูในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย อยูสูงจากระดับน้ าทะเล ่ ่ ประมาณ 300-600 เมตร ไม้ที่สาคัญได้แก่ มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคียน แดง กระเบากลัก และตาเสื อ
  • 6. 1.1.3 ป่ าดิบเขา (Hill Evergreen Forest) ป่ าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรื อบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตร ขึ้น ไปจากระดับน้ าทะเล ไม้ส่วนมากเป็ นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้ ขุนและสนสามพันปี นอกจากนี้ยงมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่ พวกไม้ช้ นที่สอง ั ั รองลงมา ได้แก่ เป้ ง สะเดาช้าง และขมิ้นต้น
  • 7. 1.2. ป่ าสนเขา (Pine Forest) ่ ป่ าสนเขามักปรากฎอยูตามภูเขาสู งส่ วนใหญ่เป็ นพื้นที่ซ่ ึ งมีความสู ง ประมาณ 200-1800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ าทะเลบางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200- 300 เมตร จากระดับน้ าทะเลในภาคตะวันออกเฉี ยงใต้ ป่ าสนเขามีลกษณะเป็ นป่ าั โปร่ ง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สาคัญของป่ าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่ วนไม้ชนิด ่ ้ อื่นที่ข้ ึนอยูดวยได้แก่พนธุ์ไม้ป่าดิบเขา เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรื อพันธุ์ไม้ป่าแดงบาง ั ชนิด คือ เต็ง รัง เหี ยง พลวง เป็ นต้น
  • 8. 1.3. ป่ าชายเลน (Mangrove Forest) บางทีเรี ยกว่า "ป่ าเลนน้ าเค็ม”หรื อป่ าเลน มีตนไม้ข้ ึนหนาแน่นแต่ละชนิดมี ้ ่ รากค้ ายันและรากหายใจ ป่ าชนิดนี้ปรากฎอยูตามที่ดินเลนริ มทะเลหรื อบริ เวณปากน้ า ่ แม่น้ าใหญ่ ๆ ซึ่ งมีน้ าเค็มท่วมถึง พันธุ์ไม้ที่ข้ ึนอยูตามป่ าชายเลน ส่ วนมากเป็ นพันธุ์ไม้ ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สาหรับการเผาถ่านและทาฟื นไม้ชนิ ดที่สาคัญ คือ โกงกาง ประสัก ถัวขาว ถัวขา โปรง ตะบูน แสมทะเล ลาพูนและ ่ ่ ลาแพน ฯลฯ ส่ วนไม้พ้นล่างมักเป็ นพวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และ ื เป้ ง เป็ นต้น
  • 9. 1.4. ป่ าพรุ หรือป่ าบึงนาจืด (Swamp Forest) ้ ป่ าชนิดนี้มกปรากฎในบริ เวณที่มีน้ า ั จืดท่วมมาก ๆ ดินระบายน้ าไม่ดีดินเป็ น พีท ซึ่ งเป็ นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็ น เวลานาน ชนิดพันธุ์ไม้ที่สาคัญของป่ า พรุ ได้แก่ อินทนิล น้ าหว้า จิก โสก น้ า กระทุ่มน้ าภันเกรา โงงงันกะทังหัน ไม้ ่ พื้นล่างประกอบด้วย หวาย ตะค้าทอง หมาก แดง และหมากชนิดอื่น ๆ
  • 10. 5. ป่ าชายหาด (Beach Forest) ่ เป็ นป่ าโปร่ งไม่ผลัดใบขึ้นอยูตาม บริ เวณหาดชายทะเล น้ าไม่ท่วมตามฝั่ง ดินและชายเขาริ มทะเล ต้นไม้สาคัญที่ ่ ขึ้นอยูตามหาดชายทะเล ต้องเป็ นพืชทน ่ เค็ม และมักมีลกษณะไม้เป็ นพุมลักษณะ ั ต้นคดงอ ใบหนาแข็ง ได้แก่ สน ทะเล หูกวาง โพธิ์ ทะเล กระทิง ตีนเป็ ด ทะเล หยีน้ า ตามฝั่งดินและชายเขา มัก พบไม้เกตลาบิด มะคา แต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนาม ชนิดต่าง ๆ เช่น ซิ งซี่ หนาม หัน กาจาย มะดันขอ เป็ นต้น
  • 11. 2.ป่ าประเภทที่ผลัดใบ (Declduous) ่ ต้นไม้ที่ข้ ึนอยูในป่ าประเภทนี้เป็ นจาพวกผลัดใบแทบ ทั้งสิ้ น ในฤดูฝนป่ าประเภทนี้จะมองดูเขียวชอุ่มพอถึงฤดูแล้ง ต้นไม้ ส่ วนใหญ่จะพากันผลัดใบทาให้ป่ามองดูโปร่ งขึ้น และมักจะ เกิดไฟป่ าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็ก ๆ ป่ าชนิดสาคัญซึ่ งอยูใน ่ ประเภทนี้ ได้แก่
  • 12. 2.1 ป่ าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest) ป่ าผลัดใบผสม หรื อป่ าเบญจพรรณมีลกษณะเป็ นป่ าโปร่ งและยังมีไม้ไผ่ชนิ ด ั ่ ต่าง ๆ ขึ้นอยูกระจัดกระจายทัวไปพื้นที่ดินมักเป็ นดินร่ วนปนทราย ป่ าเบญจ ่ พรรณ พันธุ์ไม้ชนิดสาคัญได้แก่ สัก ประดู่ แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ส้าน ยม หอม ยมหิ น มะเกลือ สมพง เก็ด ดา เก็ดแดง ฯลฯ นอกจากนี้มีไม้ไผ่ที่สาคัญ เช่น ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ ไร เป็ นต้น
  • 13. 2.2 ป่ าเต็งรัง (Declduous Dipterocarp Forest) หรื อที่เรี ยกกันว่าป่ าแดง ป่ าแพะ ป่ าโคก ลักษณะทัวไปเป็ นป่ าโปร่ ง ตาม ่ พื้นป่ ามักจะมีโจด ต้นแปรง และหญ้าเพ็ก พื้นที่แห้งแล้งดินร่ วนปนทราย หรื อ กรวด ลูกรัง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สาคัญในป่ าแดง หรื อป่ าเต็ง รัง ได้แก่ เต็ง รัง เหี ยง พลวง กราด พะยอม ติ้ว แต้ว มะค่าแต ประดู่ แดง สมอ ไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟ้ า ฯลฯ ส่ วนไม้พ้นล่างที่พบมาก ได้แก่ มะพร้าว ื เต่า ปุ่ มแป้ ง หญ้าเพ็ก โจด ปรงและหญ้าชนิดอื่น ๆ
  • 14. 2.3 ป่ าหญ้ า (Savannas Forest) ป่ าที่ถูกแผ้วถางทาลายบริ เวณพื้นดินที่ขาดความสมบูรณ์และถูกทอดทิ้ง หญ้าชนิดต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นทจึงขยายมากขึ้นทุกปี พืชที่พบมากที่สุดในป่ าหญ้าก็คือ หญ้าคา หญ้าขน ่ ้ ตาช้าง หญ้าโขมง หญ้าเพ็กและปุ่ มแป้ ง บริ เวณที่พอจะมีความชื้นอยูบาง และการระบายน้าได้ดี ก็มกจะพบพงและแขมขึ้นอยู่ และอาจพบต้นไม้ทนไฟขึ้นอยู่ เช่น ตับเต่า รกฟ้ าตานเหลือ ติ้ว ั และแต้วดแทนและพอถึงหน้าแล้งก็เกิดไฟไหม้ทาให้ตนไม้บริ เวณข้างเคียงล้มตาย พื้นที่ป่าหญ้า ้
  • 15. ประโยชน์ ของทรัพยากรป่ าไม้ ประโยชน์ทางตรง (Direct Benefits) ได้แก่ ปัจจัย 4 ประการ 1. จากการนาไม้มาสร้างอาคารบ้านเรื อนและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ไม้ขีดไฟ ฟื น เป็ นต้น 2. ใช้เป็ นอาหารจากส่ วนต่าง ๆ ของพืชและผล 3. ใช้เส้นใย ที่ได้จากเปลือกไม้และเถาวัลย์มาถักทอ เป็ นเครื่ องนุ่งห่ม เชือกและอื่น ๆ 4. ใช้ทายารักษาโรคต่าง ๆ
  • 16. ประโยชน์ ทางอ้อม (Indirect Benefits) 1. ป่ าไม้เป็ นเป็ นแหล่งกาเนิดต้นน้ าลาธาร 2. ป่ าไม้ทาให้เกิดความชุ่มชื้นและควบคุมสภาวะอากาศ 3. ป่ าไม้เป็ นแหล่งพักผ่อนและศึกษาความรู ้ บริ เวณป่ าไม้จะมีภมิประเทศที่สวยงาม ู จากธรรมชาติรวมทั้งสัตว์ป่าจึงเป็ นแหล่งพักผ่อนได้ศึกษาหาความรู ้ 4. ป่ าไม้ช่วยบรรเทาความรุ นแรงของลมพายุและป้ องกันอุทกภัย โดยช่วยลดความเร็ ว ของลมพายุที่พดผ่านได้ต้ งแต่ 11 - 44 % ตามลักษณะของป่ าไม้แต่ละชนิ ด ั ั 5. ป่ าไม้ช่วยป้ องกันการกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน จากน้ าฝนและลมพายุโดยลดแรง ปะทะลงการหลุดเลือนของดินจึงเกิดขึ้นน้อย
  • 17. การอนุรักษ์ ป่าไม้ 1. นโยบายด้านการกาหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่ าไม้ 2. นโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่ าไม้เกี่ยวกับงานป้ องกันรักษาป่ าการอนุรักษ์ สิ่ งแวดล้อมและสันทนาการ 3. นโยบายด้านการจัดการที่ดินทากินให้แก่ราษฎรผูยากไร้ในท้องถิ่น ้ 4. นโยบายด้านการพัฒนาป่ าไม้ เช่น การทาไม้และการเก็บหาของป่ า การปลูก และการบารุ งป่ าไม้ การค้นคว้าวิจย และด้านการอุตสาหกรรม ั 5. นโยบายการบริ หารทัวไปจากนโยบายดังกล่าวข้างต้นเป็ นแนวทางในการพัฒนา ่ และการจัดการทรัพยากรป่ าไม้ของชาติให้ได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางด้านการอนุรักษ์ และด้านเศรษฐกิจอย่างผสมผสาน